วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

ผู้นำกับการ "บริหาร"

ผู้นำกับการ "บริหาร"

การบริหาร คือ การจัดขบวนการเพื่อให้สามารถทำงานให้สำเร็จลุล่วงไปได้ดี โดยผ่านผู้บริหาร ในภาษากรีกการบริหาร หมายถึง กัปตันเรือ หรือ ผู้ครอบครองเป็นคำเดียวกัน เพราะว่ากัปตันเรือมีหน้าที่ควบคุมดูแลและนำเรือไปให้ถึงจุดหมายปลายทางโดยปลอดภัย ดังนั้น กัปตันเรือย่อมต้องรู้เส้นทางเดินเรือและวิธีการควบคุมเรือให้ดีที่สุด รีลอย อิมส์ กล่าวว่า.การบริหารที่สำเร็จผลนั้น คือ

1. มีการวางแผนที่ดี

2. ทำงานนั้นด้วยความเต็มใจ

3. มีความมุ่งมั่นแน่วแน่ว่า จะต้องเห็นความสำเร็จของงานที่ทำให้ได้

4. ต้องฟันฝ่าอุปสรรค และต่อสู้กับปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ

เมื่อเราบริหารเราต้องพึ่งการทรงนำไหม?

สิ่งนี้ผู้นำคริสเตียนที่เชื่อใหม่อาจยังไม่เข้าใจและสงสัยว่า เราควรจะเน้นชีวิตที่ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และการทรงนำ หรือความสามารถในการบริหารมากกว่ากัน ?

หากเราจะสังเกตุคุณสมบัติ 3 ประการที่พระคัมภีร์เน้นในการเป็นผู้บริหารงาน ในพระวัจนะของพระเจ้า ทั้งพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ ดังนี้

พระคัมภีร์เดิม อพย.18:21

พระคัมภีร์ใหม่ กจ.6:3

1.มีความสามารถ

2.ยำเกรงพระเจ้า

3.ไม่กินสินบน

1.สติปัญญา

2.ประกอบ

3.ชื่อเสียง

ในที่นี้ ความเข้าใจในความสามารถ มี 2 ลักษณะ คือ

1. เป็นของประทานจากพระเจ้า หรือของประทานด้านบุคลิคภาพ ด้านภาระใจ ตามโรม 12:6-8 และเราทุกคนมีของประทานที่ต่างกัน ตามพระคุณที่ได้ประทานให้แก่เรา คือถ้าเป็นการเผยพระวจนะ ก็จงเผยตามกำลังของความเชื่อถ้าเป็นการปรนนิบัติก็จงปรนนิบัติ ถ้าเป็นการสั่งสอนก็จงสั่งสอน ถ้าเป็นการเตือนสติก็จงเตือนสติ ถ้าเป็นการบริจาค ก็จงให้ด้วยใจกว้างขวาง ผู้ที่ครอบครอง ก็จงครอบครองด้วยเอาใจใส่ ผู้ที่แสดงความเมตตา ก็จงแสดงด้วยใจยินดี

ดังนั้น เราต้องจัดคนให้ทำงานที่เหมาะกับของประทานของแต่ละคน

2. เป็นความสามารถเฉพาะตัว หรือตะลันต์ที่เรามี เช่น ทักษะการนำ ความสามารถที่เรียนรู้มา หรือเรียกว่าพรสวรรค์ที่พระเจ้าประทานให้ ซึ่งเกิดจากการฝึกฝน การเรียนรู้ จนอาจกลายเป็นพรสวรรค์ หรือพรแสวง

3. อย่าเน้นคนที่มีเพียงด้านใดด้านหนึ่ง เช่น

. ไม่เน้นชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ดี แต่มีความสามารถเท่านั้น

. ไม่มีความสามารถ แต่มีชีวิตฝ่ายวิญญาณดีเท่านั้น

แท้จริง เราควรเน้นทั้ง 2 ด้าน แต่ถ้าหากไม่มีความสามารถ แต่มีชีวิตดี และยินดีที่จะเรียนรู้พัฒนาก็เป็นสิ่งที่ผู้นำควร พัฒนาบุคคลเหล่านี้อย่างจริงจัง



ผู้นำกับการเคลื่อนในการฟื้นใจดังแม่น้ำ

เวลานี้พวกเราที่เคลื่อนในแม่น้ำของพระเจ้า มีประสบการณ์ในการกระโดดลงในแม่น้ำ แห่งการเจิม การเยียวยา การทรงสถิตของพระองค์ลึกลงตามลำดับ เมื่อเรากระโดดลงไปในแม่น้ำแห่งชีวิตที่ไหลเข้ามาสู่ชีวิตคริสตจักรของเรา เราควรจะเข้าใจจุดประสงค์ของการดื่ม การก้าวลงไปในแม่น้ำของพระองค์

คำว่า แม่น้ำ ในพระคัมภีร์ถูกใช้เป็นสถานที่ตั้งเมืองและตั้งรกรากที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ ยังใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เช่น ยอห์นใช้ในการรับบัพติสมา หรือนาอามานใช้จุ่มตัวเพื่อรักษาโรค (2 พกษ.5:14)

ในพระคัมภีร์เดิม แม่น้ำยูเฟรติสเป็นแม่น้ำสายพิเศษ และมักใช้คำว่า "The River" (เอสรา 4:10) มักถูกใช้เพื่อเป็นสัญลักษณ์กำหนดเขตแดนชาติอิสรา (ปฐก. 15:18; ฉธบ. 1:7) ถูกครอบครองในช่วงสั้น ๆ ในสมัยของดาวิดและซาโลมอน (2 ซมอ. 8:3; 1 พกษ 4:21) เขตแดนนี้ต้องสูญเสียไปในที่สุด แต่ก็ยังได้รับการยืนยันจากบรรดาผู้เผยพระวจนะว่าเป็นพระสัญญาของพระเจ้า (อสย. 27:12; มีคาห์ 7:12). นอกจากนี้ แม่น้ำยูเฟรติสยังเป็นเครื่องหมายทางภูมิศาสตร์ของเขตแดนระหว่างเมโสโปเตเมียกับอัสซีเรีย

แม่น้ำของสวนเอเดน ซึ่งประกอบด้วยแม่น้ำยูเฟรติสและไทกริส เป็นสัญญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ที่พระเจ้าประทานให้ (ปฐก. 2:10-14) แนวความคิดนี้ยังครอบคลุมไปถึงภูเขาซีโยน ซึ่งเล็งถึงพระพรของพระเจ้า (สดด.46:4; อสค.47:5-12) และเยรูซาเล็มใหม่ (วว.22:1-2)

คำว่าแม่น้ำ มักถูกใช้เพื่อแสดงถึงความปีติยินดีของพระเจ้า (สดด.36:8) สันติสุข (อสย.48:18; 66:12) ชีวิต (ยน.7:38) น้ำตา (พคค.3:48) ทั้งยังใช้ในความหมายถึงสิทธิอำนาจในการควบคุมเหนือธรรมชาติของพระเจ้า (สดด.107:33; อสย.42:15)
________________________________________

บางคนใช้คำนี้ หมายถึง การฟื้นฟู เราอยู่ในแม่น้ำของพระเจ้าจึงหมายถึง เราอยู่ในคลื่นการฟื้นฟูของพระเจ้า
________________________________________

เหมือนดังบทเพลงที่ร้องกันอย่างแพร่หลายว่า "สายน้ำไหลหลาก จากบนภูเขา นำเอาความชื่นบานสู่ทุก ๆ ที่ที่ผ่านไป" แม่น้ำแห่งชีวิตนี้ คือการเคลื่อนของพระวิญญาณของพระเจ้าในการฟื้นฟู (อสค.47) ได้นำเอา
“...วาระพักผ่อนหย่อนใจ...มาจากพระพักตร์พระเจ้า” (กจ 3:19) จริง ๆ




แต่แม่น้ำของพระเจ้าเป็นมากกว่าความชื่นบาน ในขณะที่หลายคนพอใจเพียงแค่ยืนอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ อยู่ในการทรงสถิตย์ของพระเจ้า แต่แม่น้ำไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่นั้น แม่น้ำยังทำหน้าที่ในการเชื่อมต่อแหล่งน้ำในที่ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน แม่น้ำต้องไหลออกไปในธรรมชาติ แม่น้ำไม่ได้เพียงแต่ไหลไปไหลมาเท่านั้น แต่จะต้องไหลไปสู่ทะเล มหาสมุทร หรือแม่น้ำสายอื่น ๆ ในทำนองเดียวกัน

การฟื้นฟูไม่ได้จบแค่มีประสบการณ์ แล้วจบในตัวเองแค่นั้น แต่ต้องหมายถึงการขยายออกไป โดยการชำระในแม่น้ำแห่งการฟื้นฟู เราจะได้รับการชำระให้สะอาด ยอมจำนนที่จะเคลื่อนไปกับพระวิญญาณ ได้รับความสดชื่น และได้ใช้ของประทาน

ยิ่งกว่านั้น แม่น้ำแห่งการฟื้นฟูที่แท้จริงจะต้องขยายออกไปยังดินแดนที่แห้งแล้ง และไปถึงคนที่หลงหาย ไม่ใช่จบแค่ในคริสตจักร หรือเซลของเรา

เช่นเดียวกับแม่น้ำที่ต้องมีทางออก แม่น้ำก็ต้องมีต้นน้ำด้วย และต้นน้ำต้องอยู่สูงกว่าแม่น้ำเอง มันอาจไหลลงมาจากภูเขา แต่มันก็จะไม่หยุดอยู่ตรงนั้น มันจะไหลลงไปสู่ที่ต่ำกว่า ไปยังหุบเขา เมื่อมันไหลอย่างอิสระ แม่น้ำของพระเจ้าจะเชื่อมความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า (ภูเขา) ไปยังที่ที่ต้องการ (หุบเขา) ภูเขายิ่งสูง น้ำยิ่งไหลแรง หุบเขายิ่งลึง น้ำก็ยิ่งไหลแรง น้ำยิ่งไหลแรง อำนาจของมันก็ยิ่งมาก

แม่น้ำไม่ไหลสะเปะสะปะ มันมีทิศทางของมัน น้ำไม่เคยไหลจากฝั่งตะวันออกไปยังฝั่งตะวันตก หรือไหลขึ้นแล้วไหลลงอย่างไร้จุดหมาย มันมีระเบียบของมัน ไหลไปตามทางของมัน และไหลไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก สิ่งเหล่านี้ เปรียบเหมือนกับความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและการยอมจำนนในพระกาย เมื่อมันออกนอกลู่นอกทางอย่างควบคุมไม่ได้ ก็จะก่อให้เกิดน้ำท่วม ถึงแม้ว่าจะมีหลายคนมองการฟื้นฟูว่าเป็นความบ้าคลั่งที่ไร้ระเบียบ

แม่น้ำช่วยเปลี่ยนสภาพทางภูมิศาสตร์ สร้างให้เกิดความสวยงาม ช่วยขัดให้หินเรียบลื่นขึ้น นำสิ่งต่าง ๆ ลงมาจากภูเขา สร้างความประทับใจในรูปแบบต่าง ๆ ที่มันไหลผ่านไป นี่เป็นภาพของการฟื้นฟูที่แท้จริง ซึ่งจะเปลี่ยนชีวิตของเรา และคนรอบข้างที่ได้สัมผัสชีวิตของเรา เราจะไม่เป็นเหมือนเดิม อีกต่อไป

แม่น้ำสามารถเป็นแหล่งของพลังงานเมื่อถูกนำไปใช้อย่างถูกต้อง ซึ่งหมายถึงความมีวินัยฝ่ายวิญญาณ แต่เพราะว่าแม่น้ำต้องไหลไป มันจึงไม่มีรูปแบบ ไม่สามารถตรึงเอาไว้ (ไม่มีแม้น้ำแข็ง มีแต่ทะเลสาปแข็งเป็นน้ำแข็ง เพราะแม่น้ำไหลตลอดเวลา แต่ทะเลสาปอยู่นิ่ง ๆ)

• แม่น้ำจะนำเอาสิ่งที่ไม่ขัดขืนมัน ยอมไหลตามมันไปด้วย แค่เพียงแต่อยู่ในแม่น้ำเฉย ๆ เท่านั้น โดยไม่ขัดขืน เช่นเดียวกัน พระเจ้ามีวิธีการของพระองค์ในการเคลื่อนในเรื่องการฟื้นฟู สิ่งที่เราต้องทำมีอย่างเดียวคือ เชื่อฟังและทำตาม ไหลไปตามกระแสของมัน อย่าดื้อดึง แล้วมันจะพาเราไปเอง

• แม่น้ำไม่ได้ไหลเป็นเส้นตรง มันโค้งไปมา ทางของพระเจ้าก็เช่นกัน ไม่สามารถคาดเดาได้ พระองค์ไม่ได้ทำอย่างเดียวกันทุกครั้ง ไม่เช่นนั้น เราคงสามารถผลิตการเคลื่อนของพระเจ้าได้เอง (มีคนเคยพยายามแล้ว แต่ไม่สำเร็จ!)




โดยธรรมชาติแล้ว ความลึกของแม่น้ำมักจะสัมพันธ์กับความกว้าง ยิ่งเราลึกกับพระเจ้ามากเท่าไหร่
• หมายสำคัญและการอัศจรรย์ก็ยิ่งมากเท่านั้น เช่น การรักษาโรค การเผยพระวจนะ ขึ้นอยู่กับระดับของการไหลไปกับการฟื้นฟู ยิ่งมาก เราก็จะมีประสบการณ์ในฤทธิ์อำนาจมาก

• แม่น้ำชะล้างให้สะอาด แน่นอนว่านี่เล็งถึงความบริสุทธิ์ แม่น้ำแห่งชีวิตนั้นจะใสราวกับกระจก (วว.22:1) เพราะว่าน้ำนั้นไม่เปื้อนโคลน จึงไม่มีสิ่งในโลกนี้ปะปนมากับน้ำ

แม่น้ำแห่งชีวิต รักษาชีวิตที่อาศัยอยู่ในนั้น และนำน้ำแห่งชีวิตไปยังทุก ๆ ที่ที่มันไป ดังที่เอเศเคียล 47:7-9 กล่าวว่า “ต้นไม้มากมายอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำทั้งสองฟาก …แม่น้ำนั้นไปถึงที่ไหน สัตว์มีชีวิตที่อยู่กันเป็นฝูงก็จะมีชีวิตได้ และที่นั่นมีปลามากมาย เพราะว่าน้ำนี้ไปถึงที่นั่นน้ำทะเลก็จืด เพราะฉะนั้นแม่น้ำไปถึงไหน ทุกสิ่งก็มีชีวิต”


วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

ผู้นำกับเวลาและการจัดลำดับความสำคัญ

เราแต่ละคนมีเวลาเท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นประธานธิบดี นายกรัฐมนตรี ชาวนา แต่ว่าการใช้เวลาของเราไม่เหมือนกัน หรือเราเลือกสิ่งที่จะทำไม่เหมือนกันเช่นกัน จึงทำให้ความสำเร็จของเราไม่เท่ากัน และการทำงานหลากหลายไม่เท่ากัน ความหมายคือ ภายใน24 ชั่วโมง บางคนบริหารเวลาทำได้ หลายอย่าง แต่บางคนทำได้อย่างเดียว เหล่านี้มีสาเหตุและผมอยากจะแนะนำครับ

สิ่งแรก คือ การเลือกทำงานที่เร่งด่วนและจำเป็น เพราะงานบางอย่างจำเป็นแต่ไม่เร่งด่วน แต่เรากลับไปทำให้เสร็จ ทั้งที่ยังไม่จำเป็นต้องใช้เวลานี้ เช่นกันท่านต้องทำสิ่งที่เร่งด่วนและจำเป็นตอนนี้

สอง งานบางอย่างทยอยทำไปเรื่อย ๆ ก็ได้ เพราะมีงานบางอย่าง ต้องให้เสร็จภายในวันนี้ แต่งานชิ้นอื่นต้องทำ เพื่อไม่ให้ไปเร่งวันสุดท้าย จะด้อยประสิทธิภาพ ท่านต้องแบ่งเวลานั้น ๆ

สาม ที่สำคัญ หากสำเร็จในงานแต่พลาดเวลาสำคัญท่านก็แพ้แล้ว ท่านควรแบ่งเวลาแต่ละวัน สำหรับพระเจ้า งานของท่าน ครอบครัว และการรับใช้อย่างสมดุลย์ ท่านจะชนะตลอดชีวิต แม้ท่านจะเป็นผู้นำที่ดีแค่ไหน แต่ไม่สามารถนำครอบครัวให้สนับสนุนและมีความสุขได้ หรือความสัมพันธ์กับพระเจ้าไม่ดี ท่านจะจบชีวิตแห่งความสำเร็จแบบคนพิการครับ คือไม่ครบสมบูรณ์ตามน้ำพระทัยพระเจ้า

สี่ เรียนรู้จักการปฎิเสธ เพราะบางเรื่องคนอื่นก็ทำได้ และท่านต้องทำงานหลัก หน้าที่ของท่านให้สำเร็จก่อนครับ อย่าคิดว่าหากไม่มีท่าน งานนั้นจะไม่สำเร็จ นี่เป็นความคิดที่ผิด
โยเซฟเคยถูกพี่ชายขายมาก่อน ทั้งที่เขาเล่าการสำแดงของพระเจ้าให้พี่ ๆ ฟัง แต่พี่ ๆ หาว่าเขาทะเยอทะยาน และสุดท้ายโยเซฟก็ผ่านการพิสูจน์ชีวิต ผ่านการทดสอบ พระเจ้านำเขาให้เป็นรองกษัตริย์ฟาโรห์ และได้ครอบครองดูแลพี่ ๆ ที่ต้องคำนับโยเซฟ ดังที่เคยทำนายไว้

ดาวิดเคยถูกพี่ชายดูถูกมาก่อน เมื่อดาวิดเอาอาหารไปส่ง พี่ ๆ หาว่ามาดูการสู้รบ ทะเยอทะยาน แต่สุดท้ายพวกเขาหารู้ไม่ว่าเด็กชายที่พี่ ๆ ดูถูกกลับเป็นคนที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งเป็นกษัตริย์ของพี่ ๆ และผู้เป็นบิดา แต่ดาวิด ต้องผ่านบทพิสูจน์ คือ การไม่สนใจกับคำพูดเหล่านี้ และความทุกข์ยากลำบากนานหลายปี

เรามาดูความยากลำบากของโยเซฟ โยเซฟนับวันยิ่งตกอับ เพราะถูกพี่ ๆ เอาไปขาย จากนั้นถูกทดสอบ โดย ภรรยาเจ้านาย ล่วงละเมิดล้ำเส้น หาว่าจะปล้ำ ถูกจับเข้าคุกและขังลืม ทั้งที่ ช่วยเพื่อนในคุกออกไปได้โดยทำนายฝัน สุดท้ายเมื่อเวลาพระเจ้ามาถึง สิบกว่าปีเขาเป็นรองกษัตริย์

ดาวิดเมื่อถูกเผยวจนะจากผู้เผยซามูเอลว่าจะได้เป็นกษัตริย์ โดนซาอูลไล่ฆ่า หนีเข้าไปในป่าหลายปีกว่าจะได้เป็นกษัตริย์จริง ๆ สุดท้ายเมื่อเวลาพระเจ้ามาถึงท่านก็ครอบครองอิสราเอลสิบสองเผ่า
อยากหนุนใจว่า ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ผ่านประสบการณ์เคยถูกดูแคลนมาก่อนทั้งสิ้น แค่คำพูดไม่กี่คำของบางคน อย่าให้ท่าท้อใจง่าย ๆ ล่ะครับ
วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2553

ผู้นำที่ดี กับผู้นำที่โดดเด่น

ผู้นำที่ดี กับผู้นำที่โดดเด่น

บางครั้งเราคิดว่า การเป็นผู้นำที่ดีต้องระวังตัวสูงมาก กลัวไปเสียหมดในการตัดสินใจ ระวังทุกเรื่อง กลัวความผิดพลาด และจะพลาดไม่ได้

แต่ผู้นำ ที่โดดเด่นนั้น เขาจะกล้าตัดสินใจ เแยกความดีกับความผิดพลาดออกจากกัน (ผมไม่ได้หมยถึงแยกจริยธรรมกับความผิดพลาดนะครับ หรือบอกว่าผู้นำที่กล้าตัดสินใจไม่สนใจเรื่องจริยธรรม) และไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สนใจว่าจะทำตัวไม่ดี แต่หมายถึงชีวิตดีก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การทำผิดพลาด กล้าที่จะตัดสินใจผิด เป็นเรื่องปกติ กล้าทำในสิ่งที่เชื่อ ก้าวไปในสิ่งที่มั่นใจว่าพระเจ้านำและตรัส และหากเขาผิดพลาด หรือไปไม่ถึงสิ่งที่ตั้งเป้าหมาย ก็ไม่ได้หมายความว่าความดี การรักษาชีวิต คุณภาพชีวิต การยอมรับ ของผู้ติดตามเราจะหมดไป เพราะการกล้าที่จะทำ และก้าวไปข้างหน้าของผู้นำ แม้ว่าบางครั้งจะเห็นผลน้อย หรือช้า แต่ทั้งหมด หากผู้นำคนนั้น ทำสุดกำลัง และเต็มที่ ผู้ตามก็จะเห็นเอง ในการทุ่มเท จริงใจและพระเจ้าก็จะสนับสนุนท่าน

ผู้นำที่โดดเด่นมักจะเป็นผู้ที่ต่อสู้ และไม่หันไปเหมา ปล้ำสู้ ทำ ปรับเปลี่ยน ค้นหา ปรับปรุง แก้ไข หาทางที่จะทำงาน นั้นๆ จนกว่าจะทะลุทะลวง ไม่กลัวที่จะมีการเปลี่ยนแปลง เพราะหากเขารู้ว่าหากทำเช่นนั้นต่อไป มันจะไม่สำเร็จและไม่เกิดผล ไม่ย่ำอยู่กับที่ กล้าทำในสิ่งที่ต้องทำ แม้ต้องฝืนตัวเอง เพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม ไม่กลัวที่จะรู้สึกเสียหน้าและอายเมื่อล้มเหลว

เขาอาจเสียใจ ที่ทำผิดแต่ไม่ยอม เสียโอกาส ที่รู้ว่าจะลุกขึ้นมาได้อีก เพราะ เขารู้ว่าบั้นปลาย พระเจ้าไม่ได้สร้างเขามาเพื่อเป็นผู้แพ้ แต่เขารอโอกาสที่จะชนะต่างหาก และยิ่งชีวิตและจริยธรรมของเขาด พระเจ้าจะเตรียมคนมาให้เขา รอบข้าง เพราะผู้นำที่ดีที่ทุ่มเท โดดเด่น มักจะดึงดูดคนที่เหมือนเขาเข้ามาหาด้วยกันครับ
ถ้าคุณตามใจทุกคน สุดท้ายทุกคนก็จะไม่ติดตามคุณ

ผู้นำต้องมีค่านิยมชัดเจน และกล้าที่จะแสดง ประกาศ จุดยืน โดยเฉพาะผู้นำที่เป็นคริสตชน เพราะ เป็นการไม่แฟร์เลย หากท่านคลุมเครือในค่านิยม และเอาใจทุก ๆ คนเพื่อจะให้ผู้คนติดตามท่าน โดยไม่มั่นใจ หรือเข้าใจผิดว่าท่านมีค่านิยม ความเชื่อ จริยธรรมระดับไหน

หากท่านไม่แสดงตัวตน ความเชื่อ ค่านิยม หรือสิ่งที่ท่านเป็น ซึ่งจะนำไปสู่สิ่งที่ท่านกระทำ วันหนึ่งสิ่งนั้นก็จะปรากฏออกมา และผู้ตามหลายคนจะผิดหวัง เพราะพวกเขาเคยคิดว่า หรือเคยเชื่อว่า ท่านเป็น ท่านเชื่อแบบนี้ แต่สุดท้ายมันไม่ใช่

ด้วยเหตุนี้เอง ผู้นำที่ไม่แสดงจุดยืนด้านจริยธรรม และด้านค่านิยม ก็เป็นการเอาเปรียบผู้ตามเป็นอย่างมาก เพราะท่านพยายามเอาใจ ประนีประนอม ทำให้ผู้ตามที่อาจเชื่อ หรือมีค่านิยมต่างกับท่าน หรือเชื่อไม่เหมือนท่าน เข้าใจผิดว่าท่านมีค่านิยมและจุดยืนเหมือนเขา และเขาเป็นเหมือนท่าน พวกเขาจึงติดตามท่าน แต่สุดท้ายเวลาผ่านไป สองฝ่ายเสียเวลา ประนีประนอม แต่ไม่ได้เริ่มงาน เริ่มสร้างสรรค์อะไรที่ดีหรือเกิดผลเด่นชัด เพราะสองฝ่ายมีค่านิยมต่างกัน

หากผู้นำประกาศจุดยืน ค่านิยม หลักการชัดเจน จะเป็นความยุติธรรมสำหรับผู้ตาม เพราะเมื่อท่าน กล้าประกาศ ผู้ตามบางคนที่รู้ว่าวิถีนี้ไม่ใช่ค่านิยมและจุดยืนของเขา ทำให้พวกเขาได้มีโอกาสที่จะเลือก หรือย้ายไปร่วมงานกับผู้นำท่านอื่น และศักยภาพของเขา ความคิดสร้างสรรค์ และโอกาสก็จะเป็นของเขา เพราะเขาเหมือนกับรถไฟที่ไปเจอรางของมัน จะวิ่งได้ดีกว่าวิ่งบนถนน ซึ่งไม่ใช่วิถีของรถไฟ หรือเสมือน ปลาน้ำจืดที่ไม่ต้องไปอยู่ในน้ำทะเลที่เค็มจะทำให้ชีวิตของเขาไม่ได้ปลดปล่อยศักยภาพเต็มที่ครับ
ผู้นำศตวรรษที่ 20 มักจะเป็นผู้จัดการภายในตัว

ครั้งที่แล้วผมได้พูดถึงเรื่องผู้นำกับผู้จัดการแตกต่างกันอย่างไร เพราะเราจะได้รู้ถึงธรรมชาติคนทั้งสองประเภทนี้ว่าผู้นำมักมีไอเดียรายวัน หรือรายเดือน มองภาพกว้าง ใหญ่ แต่ผู้จัดการเขาสามารถ แยกแยะ จัดลำดับความสำคัญ เอาไอเดียของผู้นำมาจัดการเป็นระบบหมวดหมู่ ลำดับตามความสำคัญได้เป็นอย่างดี

แต่ผู้นำในศตวรรษ ที่ 20 ต่างกับผู้นำยุคก่อนแล้ว ที่จะมานั่งในห้องประชุม หรือโทรบอกผู้จัดการ ให้พิมพ์จดหมาย ร่างจดหมาย โทรหาคนนั้นคนนี้ ไปวางแผนมาส่ง หรือจะทำอะไรก็ต้องเรียกผู้จัดการคนนั้นมาทำให้หมด ผลก็คือหากขาดผู้จัดการ ผู้นำคนนี้เหมือนเป็นง่อยไปเลยนะครับ

ปัจจุบันผู้นำที่โดดเด่นมักจะเป็นผู้จัดการกึ่ง ๆ ภายในตัว พร้อมกับโน้ตบุ๊ค คอมพิวเตอร์หนึ่งตัว เขาไม่ต้องเรียกเลขามาชงกาแฟให้ และไปร่างจดหมาย พิมพ์จดหมายให้แล้ว มันล้าสมัยแล้วครับ

เพราะผู้นำในปัจจุบันหลายคน เขามีไอเดีย ขณะนั้นเขาอาจนั่งที่ร้านกาแฟ ซึ่งปัจจุบันก็สามารถเชื่อมต่อ wi fi หรือ อินเตอร์เน็ตได้ สั่งกาแฟมากิน พร้อมกับเช็คเมล์เอง ส่งเอง ตอบเองได้ทันที และที่ต้องการรายละเอียดในการปฎิบัติการรองต่อมา ค่อยให้ผู้จัดการนำไปทำต่อให้สำเร็จ

หรืออีกภาพหนึ่ง สมัยก่อนผู้นำต้องร่างเอกสารหรือให้ผู้จัดการค้นหาข้อมูลโทรติดต่อ สมัยนี้ผู้นำสามารถค้นหาข้อมูลดิบเองทางเว็บไซด์ เพราะร้าน บริษัทในปัจจุบันสามารถโอนเงิน จ่ายเงินได้หมด จะสมัครวีซ่าไปอเมริกา ก็สามารถดาวน์โหลดทางเว็บไซต์ เรื่องพวกนี้ผู้นำเขาทำกันได้ทุกที่ ทันที แม้ไปพักผ่อนที่ชะอำ หัวหิน

หากวันนี้ท่านหวังแค่จะเป็นผู้นำที่ดี อบอุ่น แต่ท่านต้องใช้บุคลากรมากมาย เสียงบประมาณในสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องเสีย เพราะผู้นำต้องปรับตัวพัฒนาที่จะคิดได้ทั้งแบบกว้าง ๆ คือคิดภาพใหญ่ และคิดมองภาพแบบ ภาพเล็ก แต่ทั้งสองแบบ ปัจจุบันมันต้องไปด้วยกัน และผู้นำศตวรรษที่ 20 มักจะเป็นผู้จัดการแบบกึ่ง ๆ ภายในตัวครับ ไม่ใช่แค่ใช้คำสั่งและแบ่งปันนิมิต พูด นั่งรอเลขามาชงกาแฟ ให้อย่างเดียว

นี่คือสิ่งที่ผู้นำต้องพัฒนา และไม่เกี่ยวกับอายุจะมากแค่ไหน แต่ว่าท่านอยากจะให้พระเจ้าใช้ได้มาก และเหมาะกับยุคสมัยนี้มากแค่ไหนครับ
การพัฒนา สิ่งที่ผู้นำขาดไม่ได้ในศตวรรษที่ 20

ผู้นำคริสเตียนจะหวังพูดแค่บนธรรมมาส หรือแจกสูจิบัตร ประจำสัปดาห์ไม่ได้แล้ว เพราะปัญหาเรื่องราวต่าง ๆ ที่สมาชิก ทีมงานควรรู้ และรู้เรื่องจริง ๆ ทันเวลา จะช่วยปกป้องพวกเขาได้ เพราะทุกวันนี้โลกของสื่อ มีข้อมูลดิบ ข้อคิดเห็นและข้อวิจารณ์ ที่จริงและเท็จเสมอ จนเราไม่รู้อันไหนจริงกันแน่ ในส่วนชีวิตของเรา เสพแต่สื่อตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยันถึงก่อนนอน และการเรียกร้องจากที่ทำงาน องค์กร คริสตจักรของท่าน ครอบครัวของท่าน ทำให้เราต้องใช้เวลาให้คุ้มค่า ผมคิดง่าย ๆ นะครับ วันหนึ่ง ๆ เราต้องมีเวลาอ่านไบเบิ้ล เวลาทำงาน เวลากับครอบครัว เวลากับตัวเอง ออกกำลังกาย พักผ่อน และการเรียกร้องจากเหตการณ์ที่คิดไม่ถึงมาก่อน ดังนั้น เราจะควบคุมมันได้อย่างไร?

คอมพิวเตอร์ที่พิมพ์งานเพื่อจะได้แก้ไขได้ facebook ที่โพสต์ข้อความสื่อสารกับทีมงาน เพื่อไม่ต้องโทรศัพท์ตลอดเวลา อีเมล์แจ้งข่าวสารที่ถูกและป้องกันข่าวที่ไม่ดี หากใช้เป็น สามารถประหยัดค่าโทรศัพท์และรักษาสุขภาพหูของท่านได้ อีกอย่างเว็บไซต์ของหน่วยงาน หรือองค์กรปัจจุบัน สามารถใช้โอนเงิน สมัครสมาชิก ซื้อของ ดูสินค้า

หากเป็นองค์กร โบสถ์ เขาดูหน้าร้าน หรือหน้าตาทางเว็บไซต์เพื่อติดต่อ ดูกิจกรรมของท่าน ความเชื่อของท่านก่อนไปซื้อ หรือร่วมกิจกรรม ทำให้ประหยัดเวลา ได้ทำสิ่งควรทำจริง ๆ เพราะบางสัมนาเราดูทางเว็บ หรือซื้อซีดีมาฟังในคอมพิวเตอร์และทำงานไป เพราะเราคงไปทุกสัมนาไม่ได้ เราก็ฟัง และทำงานหลักไป ให้คำปรึกษา ผ่าน msnไปด้วย เพราะเหมือนอาจารย์เปาโลพูดว่า คนที่เป็นเจ้าของก็เหมือนไม่ใช่เจ้าของ แต่เราก็เรียนรู้จะควบคุม เป็นเจ้าของสิทธิที่เราจะเป็นได้ครับ ผ่านอุปกรณ์เหล่านี้ ที่สามารถทำงานได้ทุกที่ด้วยครับ ไม่เสียเวลาเดิทาง ส่งของ ฯลฯ

( 1คร7; 30-31 และให้คนที่เศร้าโศกดำเนินชีวิตเหมือนกับมิได้เศร้าโศก และผู้ที่ชื่นชมยินดี ดำเนินชีวิตเหมือนกับมิได้ชื่นชมยินดี และผู้ที่ซื้อก็ให้ดำเนินชีวิต เหมือนกับว่าเขาไม่มีกรรมสิทธิ์เหนืออะไรเลย และคนที่ใช้ของโลกนี้ให้ดำเนินชีวิต เหมือนกับมิได้ใช้อย่างเต็มที่เลย เพราะระบอบของโลกนี้กำลังล่วงไป)
การสร้างทีมงานรายบุคคล

บางกรณีเราก็สร้างสอนแบบทีม บางกรณีเราก็สร้างตัวต่อตัว เพราะนิสัย ปัญหา จุดอ่อนของแต่ละคนต่างกัน

บางคนมี ความสามารถ แต่ไม่มีความจงรักภักดี บางคนมีครบหมดแต่เชื่อไม่ได้ในเรื่องการเงินหรือเวลา มีหลายคนมีศักยภาพดี แต่จริยธรรมไม่ดี หลายคนทุ่มเท แต่ขี้คุย หรือบางคนมีความสามารถและมีจริยธรรมไม่ดี ไม่ทุ่มเท

ด้วยเหตุนี้เราต้องแก้ไข ติดตามนิสัยแต่ละคน ทำงานร่วมกันไปด้วย แก้ไปด้วย ไม่พยายามมอบงานที่เขาเสี่ยงต่อความอ่อนแอนั้น เพราะเรารู้ว่าเขาแพ้เรื่องจริยธรรมการเงิน ขณะช่วยเหลือเขาก็อย่าให้เขาดูแลการเงิน และอย่าเอาจุดอ่อนของคนหนึ่ง มาตั้งเป็นกฎให้ทั้งทีม คนอื่นที่ไม่ได้เป็นแบบนั้น ต้องมาตึงเครียดกับกฎใหม่ ๆ เพราะนิสัยคน ๆ เดียว

การสร้างทีมแบบตัวต่อตัวนั้นสำคัญ ลงทุนน้อยแต่คุ้มค่า ที่ผมพูดนี้กรณีท่านไม่สามารถหาคนได้ ไม่มีสิทธิเลือก

แต่หากท่านเลือกได้ มีคนให้เลือก ท่านจะเลือกทีมก็ควรหาคนที่มีความสามารถ ซื่อสัตย์ ไว้ใจได้ และรับการสอนได้ ยำเกรงพระเจ้า ประกอบด้วยสติปัญญา แม้เขาอาจมีจุดอ่อนเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ค่อย ๆ แก้ไป และสุดท้ายอยากหนุนใจว่าไม่มีใครดีพร้อม เมื่อท่านเป็นผู้นำ ท่านมีหน้าที่สร้างเขาขึ้นมา และสร้างจากคนที่อยู่รอบ ๆ ตัวท่านนี่เอง
การเลือกทีมงานและการจ่ายราคา

องค์ประกอบใหญ่ ๆ ของการเลือกทีมงานของผู้นำนั้น คือ การจ่ายราคา เวลาเป็นกุญแจ หนึ่งของทีมงาน ที่จะยอมสละให้กับเราที่เป็นผู้นำในการนำและสร้าง

เมื่อท่านได้คนเหล่านี้มาเป็นทีมงาน ควรสร้างและดูแลคนเหล่านั้นแตกต่างกันไป อย่าใช้สไตล์เดียว เวลาจึงสำคัญที่สุด และท่านจะสร้างและนำทีมให้มีประสิทธิภาพได้นั้นด้วยวิธีต่างกันในทีเดียว

แต่กุญแจก็คือเขาต้องจ่ายราคาเรื่องเวลาที่จะสร้างคน ผมอยากใช้คำว่า เราจะไม่ให้งานทำ หากเขาไม่ให้เวลาเราสร้าง หรือ อีกคำคือ คุณทำงานให้ผม แต่ผมตอบแทนคุณคือการสร้างคุณ

เพราะงานในองค์กรคริสเตียน โบส์ อาสาสมัคร การกุศล เป็นการทำทานด้วย อุทิศถวาย ตัว ไม่มีเงินตอบแทน แต่สิ่งที่เรามีให้คือการสร้าง มอบมรดกด้านทักษะ เวลาให้กับเขา และเขาเองต้องจ่ายราคาเช่นกัน
การเลือกผู้นำ

ผู้นำไม่จำเป็นต้องเก่งทุกเรื่อง แต่สามารถระดมจิตใจมวลชนมาเป็นหนึ่งเดียวกันและติดตามเขาไปได้ สิ่งที่ผู้นำที่ประสบความสำเร็จ คือ ความเข้าใจในทีมงาน ความรัก การเสริมสร้าง

วิธีการเสริมสร้างก็แตกต่างกัน เราจะเห็นตัวอย่างดาวิด คนที่เบื่อหน่ายกษัตริย์ซาอูลที่ขี้อิจฉา อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่รู้หน้าที่ การปกครอง วัน ๆ หาเรื่องแต่จะไล่ฆ่าดาวิด ทำให้ คนจน อันธพาล คนที่ไม่มีที่ไป ไปรวมตัวอาศัยกับดาวิด และดาวิดก็รู้วิธีการจัดการกับคนเหล่านี้เป็นอย่างดี
ดาวิดทำงานกับคน แม้ในครั้งหนึ่ง ทหารดาวิดไปสู้รบไม่ไหว ดาวิดก็ให้เฝ้าเมือง และให้ส่วนแบ่งกับผู้ไปรบด้วย

เราจะเห็นอีกมุม คือ ซาอูลกลับมีข้อกฎบังคับที่มีเพื่อตัวเอง ว่าหากสู้รบไม่ชนะ ใครอย่ากินข้าวกินน้ำ ไม่งั้นขอให้โดนแช่งสาป และลงโทษ แต่ปรากฎว่า สุดท้ายลูกชายของกษัติย์ซาอูลกลับกินน้ำผึ้ง ทำให้ชุ่มชื่นใจ และนำทีมไปรบจนชนะ

แต่ว่าโยนาทานลูกชายกษัตริย์ซาอูลไม่ได้ยินคำสั่งนั้น ผลคือเกือบจะต้องถูกฆ่า แต่มีเหล่าทหาร ข้าราชการขอร้องเอาชีวิตไว้

คุณจะเห็นความแตกต่างระหว่างผู้นำสองคนหรือยังว่าเราควรจะเลือกตามผู้นำแบบไหนดี

ข้อคิด ผู้นำที่ดีต้องมีสติปัญญา ยำเกรงพระเจ้า มีจริยธรรมดี และไม่กินสินบน
ผู้นำกับผู้จัดการ


ผู้นำจะมีบุคลิคหนึ่งคือ เขามีไอเดีย วิสัยทัศน์ นิมิต ตลอดเวลา บางทีอยู่กับเขา เราจะงงว่าเขาจะเอาอะไรกันแน่ นี่คือจุดที่เราต้องเข้าใจ เพราะผู้นำเขาจะมองทุกอย่างเป็นโอกาส และมีอะไรใหม่ ๆ เสมอ

สิ่งที่ผู้นำต้องมีคือ เขาควรถามพระเจ้าว่าพระเจ้าทรงเรียกเขาให้ทำอะไร และรู้จังหวะเวลา ว่าจะทำอะไรก่อน หลัง หากผู้นำไม่รู้การทรงนำหรือการทรงเรียก เขาจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามที่สิ่งแวดล้อมกระตุ้นนิมิตและสมองของเขา หรือโดยธรรมชาติของการนำ เขาจะมีอะไรใหม่เรื่อย ๆ ดังนั้นผู้นำที่ประสบความสำเร็จนั้น เขาต้องมีผู้จัดการที่ดี

ผู้จัดการจะนำเอานิมิต ภาระ สิ่งที่ผู้นำต้องการมาแยกแยะรายละเอียด และลำดับความสำคัญก่อนหลัง เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จได้ ดังนั้นเราจะเห็นผู้จัดการและผู้นำภายในคนเดียวน้อยมาก ยิ่งจะทำการใหญ่ต้องมีสองคนนี้เสมอไป เพราะผู้นำมักใช้ปาก ท้าทาย แต่ทำไม่เก่ง ไม่ได้ แต่ผู้จัดการใช้ทักษะ สมอง ระดมคน เงิน มาจำแนก ทำให้นิมิตผู้นำสำเร็จ

แต่สองคนนี้จะขาดกันไม่ได้ เพราะผู้จัดการแม้จะเก่งแค่ไหน แต่ท่านไม่ใช่ผู้นำ ท่านพูดท้าทายอะไร มวลชนก็จะไม่ตาม เพราะไม่ใช่ผู้นำ ท่านถูกเรียกมาให้จัดการนิมิตผู้นำให้สำเร็จ วันนี้ท่านคิดดูว่า ท่านเป็นผู้นำหรือผู้จัดการ
สิ่งที่ผู้นำต้องมอง ตอน อย่ามองข้าม สิ่งอัศจรรย์ภายใน สาวอ้วนบ้านนอก

อยากจะหนุนใจท่านให้มีกำลังใจและอย่ากลัวที่จะฝัน เพราะมีบางสิ่งที่ซ่อนในตัวท่านที่สุดแสนวิเศษที่พระเจ้าทรงโปรดจัดเตรียมไว้ จึงอยากจะนำเรื่องของหญิงคนหนึ่งซึ่งอายุ 47 ปีจากชนบทแห่งหนึ่ง

ซูซาน บอยล์ Susan Boyle เป็นนักร้องมือสมัครเล่นชาวสกอตแลนด์ เป็นบุตรคนสุดท้องในบรรดาบุตรเก้าคนของนายแพทริก บอยล์ พนักงานโกดังที่โรงงานบริติชเลย์แลนด์ เมื่อตอนซูซานเกิด มารดามีอายุได้สี่สิบสี่ปี เวลานั้นเป็นช่วงที่ลำบากมาก เพราะไม่มีออกซิเจนเพียงพอจะให้แก่ซูซานเมื่อแรกเกิด ทำให้ประสาทการเรียนรู้ของเธอทำงานอ่อน เมื่อตอนเข้าโรงเรียนจึงเป็นที่กลั่นแกล้งและล้อเลียนกันอย่างสนุกสนานของเพื่อน ๆ

เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาโดยมีคุณสมบัติตามเกณฑ์เพียงบางประการแล้วนั้น ซูซานเข้ารับการอบรมประกอบอาหารที่วิทยาลัยเวสต์โลเธียน (West Lothian College) เป็นเวลาหกเดือน ในช่วงนั้นเธอชื่นชอบการเข้าชมละครเวทีและได้เข้าชมที่โรงละครท้องถิ่นหลายครั้ง ซูซานเข้ารับการอบรมร้องเพลงจากนักฝึกเสียงชื่อดัง เฟรด โอเนล (Fred O'Neil)

ต่อมา บิดาของซูซานถึงแก่กรรม และญาติพ้องน้องพี่ของเธอก็จากบ้านไปทั้งหมด ทิ้งให้ซูซานอาศัยอยู่ลำพังกับมารดาผู้ชรา กระทั่งนางบริดเจ็ตเสียชีวิตใน พ.ศ. 2550 เมื่ออายุได้เก้าสิบเอ็ดปี ซูซานคงพำนักอยู่ในบ้านหลังเดิมที่มีห้องนอนสี่ห้องต่อไป โดยมีแมวชราชื่อ "เพ็บเบิลส์" (Pebbles) เป็นเพื่อนแก้เหงา

เพื่อนบ้านของซูซานบอกนักข่าวว่า ซูซานไม่เคยมีหรือจัดงานวันเกิดของตัวเองเลยเพราะใช้เวลาดูแลเอาใจใส่มารดาอยู่เสมอ และหลังจากมารดาเสียชีวิตแล้ว ซูซานก็พยายามข่มใจต่อสู้กับการสูญเสียครั้งนี้โดยบอกกับตัวเองว่า จะขอทำใจอยู่ในบ้าน ไม่ออกไปข้างนอก ตอบเสียงเคาะประตู หรือรับโทรศัพท์สักสามสี่วัน

ซูซานบอกว่าการจากไปของมารดาตนเป็นแรงผลักดันให้เธอกล้าเข้าประกวดที่รายการ "บริเทนส์กอตทาเลนท์" วันที่เธอปรากฎตัวหน้าเวทีในการประกวด ผู้ชมในโถงประกวดย่อมมองเธอในเชิงลบเพราะเธอมีรูปลักษณ์ไม่น่าดูชม กระนั้น หากท่านชมยูทูป ที่เราแนบมาให้ ท่านจะเห็นการถ่ายทอดการสัมภาษณ์ของซูซาน และซูซานก็ตอบได้ไม่ถนัดนัก บางคำถาม คงเนื่องมาจากคนบ้านนอก ทำให้ที่ประชุมหัวเราะ และ ผู้ชมหลายคนก็ส่ายหน้าเมื่อเธอบอกว่าใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักร้องคนที่พิเศษ อีกทั้งอยากจะเป็นเหมือน "Elaine Paige (นักร้องละครเวทีระดับสุดยอด)" ยิ่งทำให้คนในที่ประชุมหัวเราะเยอะเธออีก และการแต่งการที่ล้าสมัย การพูดจากการตอบโต้สัมภาษณ์มีเสียงหัวเราะเยาะจากผู้ชมในห้องประชุมเป็นระยะ ๆ

กรรมการยิ้มเยาะในทำนองว่าจะเป็นไปได้หรอ เพลงที่จะร้องมันยากนะ เมื่อกรรมการถามว่าเธออายุเท่าไหร่ ซูซานบอกว่าเธออายุ 47 ปี และส่ายสะโพกอันหนาอ้วน บอกว่าและนี่ก็คือขนาดตัวของฉันที่มีมาตลอด
ดวงดาวเริ่มจรัสแสง เพราะเมื่อดนตรีเริ่มขึ้น Intro ของเพลง จบ ซูซาน บอยล์ เริ่มร้องเพลง I dreamed a dream (เพลงจากละครเวทีเรื่อง "เลมีเซราบล์" (Les Misérables) ใบหน้ากรรมการทั้งสามคนและคนในที่ประชุมต่างตาโต อึ้ง และตามด้วยรอบยิ้ม เสียงโห่ร้องด้วยความทึ่ง อัศจรรย์ใจในพลังเสียงของเธอ โดยเฉพาะท่อนแยกที่ร้องเสียงสูงและสูงที่สุด เธอสามารถลากเสียงยาวและดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยิ่งทำให้กรรมการสองในสามท่านยืนปรบมือให้ ที่ประชุม เจ้าหน้าที่ทำหน้าตกใจว่าทำได้อย่างไรนี่? เพียงหนึ่งสัปดาห์นับแต่มีคนนำการประกวดลงเว็บไซต์ Youtube ก็มีผู้เข้าชมมากกว่า 4,300ล้านครั้งทั่วโลก

อยากหนุนใจท่านในวันนี้ ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ท่านมีดีอยู่ในตัวตั้งแต่วันที่พระเจ้าสร้างท่านขึ้นมา ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา และผู้นำทั้งหลาย อย่ามองคนแต่เพียงภายนอก เพราะยังมีอะไรดี ๆในตัวเขาเหล่านั้นที่อยู่กับท่าน มันรอเวลาและโอกาสที่จะเผยโฉมอันสง่างามออกมา เพราะเมื่อเวลามาถึง จังหวะสนับสนุน และท่านเองก็พร้อมแล้ว วันนั้นแหละจะเป็นวันของท่านครับ

(สำหรับเนื้อหาบาง ตอนผมได้คัด ตัดต่อ และนำมาเขียนใหม่ เพื่อให้กระชับ และได้นำมาจากเว็บที่แนบมาให้ หากท่านต้องการอ่านประวัติของซูซานบอยล์มากกว่านี้ ขอให้ท่านเข้าไปตามลิงค์ที่แนบมานะครับ

http://www.talesrunner.in.th/webboard/content.aspx?nForumID=1&nTopicID=148100

ส่วน คลิปวิดีโอการประกวด ผมได้นำลิงค์มาให้ตามข้างล่างนี้ครับ

http://www.youtube.com/watch?v=9lp0IWv8QZY&feature=related
ทองก็เป็นทอง

ในสมัยอิสราเอลจะมีกษัตริย์องค์แรกโดยเลือกจากเหล่าหมู่ประชาชน ปรากฏว่าคนที่ถูกเลือกเป็นชายหนุ่ม ชื่อ ซาอูล ซึ่งเป็นเผ่าที่เล็กที่สุดหรือเป็นน้องคนสุดท้อง เราต้องเข้าใจก่อนว่าอิสราเอลเขานับตามเผ่า มี 12 เผ่า เบญจมินจึงเป็นเผ่าที่เล็กที่สุด และวันที่เขาเลือกกษัตริย์ซาอูลก็ไปแอบอยู่ใต้กองสัมภาระ (1ซมอ10;22) เพื่อหลบผู้คน แต่สุดท้ายด้วยร่างกายที่โดดเด่นของเขา ประชาชนก็แต่งตั้งเขาเป็นกษัติย์ในเวลานั้น เรื่องนี้ทำให้ผมคิดถึงเมล์ที่ได้รับส่งต่อ ๆ กันมา มีฉบับหนึ่งที่ได้ส่งลิงค์ดูวีดีโอจากยูทูปหนุ่มนิรนามที่เมล์ฉบับนั้นบอกว่ามีคนดูเยอะที่สุดในขณะนี้ เพราะเขาใส่หมวกปิดหน้าตาเล่นกีต้าร์ เพลง Canon In D (ซึ่งเพลงนี้ มียี่สิบกว่าเวอร์ชั่นนะครับ) หากท่านที่ไม่เคยฟัง ผมเอาลิงค์เวอร์ชั่นปกติมาให้ฟัง แล้วท่านจะร้องอ้อว่าไพเราะมาก

http://www.youtube.com/watch?v=DZHw9uyj81g&feature=related



แต่ที่ผมได้รับเป็นเล่นโซโล่ในแนวร็อค ผมพยายามค้นหามองหาว่าเขาเป็นคนเชื้อชาติใด เพราะ คนอื่น ๆ ที่เล่นโชว์มักจะถ่ายหน้าตัวเอง จากนั้นผมก็เริ่มค้นหาพอรู้บ้างว่าคนแรกที่เล่นเพลงนี้เป็นคนมีชื่อเสียง คือYngwie Malmsteen เล่นเอาไว้เมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว จากนั้นมีการเรียบเรียงดนตรีใหม่ ก็มีมือกีต้าร์หลายคนออกมาโชว์ผลงานในยูทูป และเป็นที่รู้จักคือ JerryC มือกีต้าร์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลก Youtube หนุ่มชาวไต้หวัน มีคนคลิ๊กเข้าชมถึง 17ล้านครั้ง แต่ต่อมา มีอีกคนโผล่ ขึ้นมา ก็คือ หนุ่ม เสื้อบืดใส่หมวกปิดหน้า และเล่นไห้ดียอด เยี่ยม มีคนคลิกเข้าไปดูอีก โดยไม่มีใครรู้ชื่อเสียงเรียงนาม หนุ่มคนนี้ จนต่อมา ยูทูปได้เปิดคอนเสริท มือกีต้าร์ฮีโร่ สมัครเล่นที่เด่นในยูทูป ขึ้นมา ปรากฎว่า เขาคือ เด็กชาวเกาหลีครับ บทความนี้ ผมกำลังจะบอกท่านว่า ทองก้คือทอง แม้วันนี้ไม่มีใครรู้จักท่าน หรือ จะแอบ ปกปิด ไม่โชว์ตัว แต่ด้วยผลงานและ ศักยภาพภายในท่าน มันจะต้องโชว์ขึ้นมา มห้โลกปรากฏสักวัน ไม่ว่า จะเป็น ซูซาน บอย ล์ หรือหนุ่ม พอล ที่ขาย มือถือ และสุดท้าย คือ Fantaw หนุ่มเกาหลีคนนี้มีคนเข้าชม 63ล้านครั้งแล้ว ผมจึง เอาลิ้งค์ ให้ท่านชม ตอนเขาไม่โชว์เปิดหน้าตา

http://www.youtube.com/watch?v=2GLoYg-4xrc&feature=related



และอีกลิ้งค์นี้เขาโด่งดังจากคอนเสิร์ตของยูทูปที่ได้เห็นหน้าตาชัด ๆ น่าภูมิใจนะครับว่าชาวเอเชียก็เก่งสู้ฝรั่งเขาได้

http://www.youtube.com/watch?v=OBHfb2sVWV4&feature=related



วันนี้ ฝึกฝน ปล้ำสู้ ในความฝันของท่าน แม้ท่านจะไม่ได้นำในโลกธุรกิจ หรือด้านใดด้านหนึ่ง แต่ท่านสามารถนำด้านศักยภาพที่ซ่อนภายในท่าน รอวันหนึ่งมันจะปรากฏแน่ หากท่านยังคงรักษาความฝันและทักษะ นิมิตนั้นไว้

"จงเขียนนิมิตนั้นลงไป จงเขียนไว้บนแผ่นป้ายให้กระจ่าง เพื่อให้คนที่วิ่งอ่านได้คล่อง เพราะว่านิมิตนั้นยังรอเวลาของมันอยู่ มันกำลังรีบไปถึงความสำเร็จ มันไม่มุสา ถ้าดูช้าไป ก็จงคอยสักหน่อย มันจะบังเกิดขึ้นเป็นแน่ คงไม่ล่าช้านัก ดูเถิด ผู้ที่จิตใจไม่ชอบธรรมก็จะล้ม แต่ว่าคนชอบธรรมจะดำรงชีวิตอยู่ด้วยความซื่อสัตย์ {หรือ ความเชื่อ} ฮะบากุก 2;3-4
สิ่งที่ผู้นำต้องมอง ตอน คนขายมือถือร้องเพลงโอเปร่า

ในตอนนี้อีกคนหนึ่งที่ผมอยากจะ นำมาเป็นกำลังใจแก่ท่าน คือ ชายหนุ่ม เซลล์แมนขายโทรศัพท์มือถือ ชื่อว่า Paul Potts ในวัยเด็กเขาเป็นเด็กที่ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง มักถูกเพื่อน ๆ รุมกลั่นแกล้ง และวันหนึ่งจังหวะชีวิตมาถึง เขาได้เข้าร่วมการประกวดร้องเพลง ใน Britain got talent ในเดือน พฤษภาคม 2007

ท่านลองคิดดูสิครับว่าชายหนุ่มคนหนึ่งอ้วน ๆ เตี้ย ๆ ฟันก็เก นัยน์ตาเศร้า ๆ ยิ้มแบบคนจะร้องไห้ มาประกวดร้องเพลง เมื่ออยู่ต่อหน้าคณะกรรมการ และกรรมการท่านหนึ่งถามว่า คุณจะมาทำอะไร เขาตอบอย่างเศร้า ๆ ด้วยบุคลิกของเขาว่ามาร้องเพลงโอเปร่าครับ กรรมการมองหน้ากัน และดูเหมือนจะแคลงใจว่าจะไปรอดหรือเปล่า เพราะเพลงที่เขาจะร้องเป็นเพลงโอเปร่าที่ร้องยากที่สุดเพลงหนึ่ง ชื่อเพลง Nessun Dorma

หลังจากร้องท่อนแรก ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อเข้าสู่ท่อนที่สอง ด้วยน้ำเสียงที่ต้องใช้พลังในการร้องที่ เล่นลูกคอ และเสียงต้องสูงที่สุด ทำเอาที่ประชุมโห่ร้องด้วยความอัศจรรย์ใจยิ่งนัก และในตอนจบเพลงกรรมการท่านหนึ่งถึงกับหันหลังไปดูที่ประชุม ในการตอบสนองต่อความอัศจรรย์ของหนุ่มเซลล์แมนมือถือคนนี้

อยากหนุนใจคนที่คิดว่าตัวเองไม่สำคัญเท่าไหร่ หรือเป็นเพียงแต่?...... แต่ว่าในตัวท่านมีสิ่งอัศจรรย์ที่พระเจ้ารอเวลาของพระองค์ที่จะโชว์ท่านแก่คนทั้งหลาย ว่าพระองค์ไม่ได้สร้างท่านมาเป็นคนธรรมดา เพราะเรามีสิ่งมีค่าในภาชนะที่ไม่มีค่าไงครับ

http://www.youtube.com/watch?v=1k08yxu57NA


บุคลิคภายนอก (Personality) & อุปนิสัย บุคลิกภายใน (Character)

ปัจจุบันมีการส่งเสริมอุปกรณ์ เครื่องมือไอทีมากมาย การส่งเสริมการแต่งกาย มีการอบรมและพัฒนา ทักษะและบุคลิคภายนอก (Personality) เพื่อจะได้พูด ทำท่าทางประกอบในการเจรจา เพื่อจะได้ชนะใจผู้คน และการพัฒนาในการเป็นผู้นำที่มีลักษณะบุคลิคที่ดีนั้น มีหนังสือและตำราเป็นพัน ๆ เล่มที่น่าอ่าน

แต่ผมอยากจะนำเสนอในมุมของ (Character) อุปนิสัย บุคลิกตัวตนภายใน คือ บุคลิกลักณะตัวตนภายในของท่าน ซึ่งมันสำคัญมาก มันเป็นตัวตนจริง ๆ ทั้งที่อ่านอยู่ส่วนตัวคนเดียวและอยู่ต่อหน้าผู้อื่น และจะเป็นอยู่เจริญขึ้นตามวัย ประสบการณ์ และการได้ผ่านขบวนการผ่านความทุกข์ ปัญหา

ประสบการณ์ต่าง ๆ จะยิ่งทำให้ท่านมั่นคงและเจริญเติบโตขึ้นไปตลอดชีวิตของท่าน หลายครั้งเรา สนในใจบุคลิกภายนอก (Personality) มากกว่าตัวตนภายในของท่าน หากท่านขาดความสมดุลย์เช่นนี้ เวลาผ่านไปอาจพบกับความล้มเหลว ดังนั้นอย่าลืมการอ่าน การฝึกอดกลั้น หาที่ปรึกษา หาคนที่เตือนเราได้ สอนเราได้ เราปรึกษาได้

เมื่อมีปัญหาเราต้องคิดเสมอว่าเรากำลังพัฒนาตัวตนภายในของเราให้เข้มแข็ง แม้อุปสรรคจะเข้ามา ทั้งท่าทางท่าทีภายนอก (Personality) และตัวตนภายใน (Character) ก็จะสงบ ดำเนินไปพร้อมกันอย่างมั่นคง ดังนั้น การอธิษฐาน ภาวนาทุกวัน อ่านพระคัมภีร์ไบเบิล และใช้สติ ทุกอย่าง

เมื่อเจออุปสรรคจงเข้าใจว่ามันคือการสร้างตัวตนของเรา และเป็นการเรียนผ่าน ประสบการณ์ชีวิตจริงครับ ยิ่งไหญ่กว่าในห้องสัมนาเสียอีก
ทุกคนเป็นผู้นำได้ ตอนที่ห้า จุดชนะใจที่ดีที่สุดของผู้นำ

อย่างแรก คือ รักลูกน้อง ไม่ใช่รักงานนะครับ หากท่านรักลูกน้อง ดูแล ถามไถ่ เอาใจใส่พวกเขาและครอบครัว นั่นเป็นอาวุธและของขวัญของท่านที่จะทำให้พวกเขาประทับใจ ท่านพร้อมจะรัก ให้โอกาส และส่งเสริมพวกเขาตลอดเวลา ผู้ตามมทุกคนสัมผัสถึงความจริงใจของท่าน ทำไม? เพราะท่านรักคน คนจะไปทำงานของท่านให้สำเร็จ แต่หากท่านรักงาน ไม่สนใจคนลูกน้องของท่าน เจ็ ป่วย เงินขาด ไม่พอกิน ปัญหา รกรุงรัง เขาก็จะทำงานให้ท่านอย่างด้อยประสิทธิภาพ ดังนั้น คนต้องมาก่อน

อย่างที่สอง โอกาส ไม่มีลูกน้องคนไหน ไม่หวังที่จะมีโอกาส ก้าวไต่ไปสูงกว่าเดิม และฝันว่าหัวหน้างาน จะต้องส่งเสริมเขา แต่ปรากฎว่าสมัยนี้หลายแห่งยังคงมองข้ามจุดนี้ คือ ให้ทีมทำงานไปโดยไม่เคยให้ความหวังในการจะให้ความก้าวหน้า และมักพูดเปรียบเทียบกับคนอื่นนอกบริษัท และสุดท้ายก็จ้าง นำเขาเข้ามาทำในตำแหน่งที่ทีมงานบางคนฝึกขึ้นมาทำก็ได้ แต่ท่านกลับไม่ทำ จึงทำให้กำลังใจของทีมงานเริ่มหมด ไฟเริ่มหาย ตอนนี้เอง ท่านจะเห็นปรากฎการต่อต้าน ดื้อเงียบ ขมขื่น และการโยกย้ายงานเกินขึ้น เพราะท่านขาดการให้ความหวังแก่ทีมงาน

อย่างที่สาม สนับสนุนทีมงานแต่ละคน ซึ่งมีความสามารถแตกต่างกัน หากท่านคอยสนับสนุนเขา ก็เท่ากับท่านสนับสนุนตัวเองขึ้นมา คนเราจะดูคนดูง่ายครับ เราจะดูว่าทีมงานของคนนั้นเก่งแค่ไหน ให้ดูศักกยภาพผู้นำของเขา และจะดูว่าผู้นำคนนั้นฉลาดแค่ไหน ก็ดูการเลือกทีมงานของเขาที่อยู่รอบข้างเขา ดังนั้นผู้ตามต้องเรียนรู้ที่ใฝ่หาความรู้ และผู้นำก็ส่งเสริมผู้ตาม แล้วทีมงานของท่านจะสร้างประโยชน์มหาศาลให้แก่องค์กรครับ
ทุกคนเป็นผู้นำได้ ตอนสี่ ผู้นำแบบไหนที่มีอิทธพลที่สุดและยาวนาน

ตำแหน่งของผู้นำที่มีอิทธิพล มีหลายแบบ แต่ละแบบจะมีจุดดีและจุดอ่อนในตัว ซึ่งจะคุยกันในตอนนี้ เพื่อท่าน จะได้ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ และแก้ไขโดยเร็ว ก่อนที่เหตุการณ์ที่คิดไม่ถึงจะตามมา

ผู้นำแบบแรก คือ ผู้นำที่ได้รับการแต่งตั้ง
เนื่องจากกการเป็นญาติ หรืออยู่มานาน หรือเหตุผลอื่น ๆ แม้ท่านจะเก่งไม่เก่ง ทำอะไรที่ไม่เข้าที่เข้าทาง ด้วยตำแหน่งค้ำชูท่านอยู่ และผู้ตามเขาต้องตามเพราะตำแหน่งที่ถูกแต่งตั้งที่ท่านได้รับ แต่หากวันหนึ่งท่านต้องออกจากตำแหน่ง ท่านก็จะหมดอิทธิพลไปพร้อมกับตำแหน่งนั้น เพราะขณะที่ท่านนำท่านอาจทำตัว ใช้อิทธิพลไม่เหมาะสม ผลก็คือท่านหมดอำนาจและอิทธพลไปแล้ว เหลือแต่ ความสัมพันธ์ปกติ

ผู้นำแบบที่สอง คือ ผู้นำแบบความสัมพันธ์
นั่นหมายถึงท่านมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทีมงาน พนักงาน ไม่ได้รับการแต่งตั้ง แต่ก็มีคนมาหาขอคำปรึกษา ขอความช่วยเหลือ และวันหนึ่งมาพวกเขาอาจจะเชียร์ท่าน ให้ท่านขึ้นมานำพวกเขา ทั้งที่ท่านมีความสัมพันธ์ที่ดี แต่ความสามารถอาจไม่ถึงก็ได้ แล้วแต่เรื่อง ๆ ไป และแล้วแต่ละคน แต่ว่าวันหนึ่งมาเมื่อความสัมพันธ์หมดไปเพราะเหตุการณ์บางอย่าง ซึ่งเราก็คิดไม่ถึง ปรากฎว่าท่านอาจต้องสูญเสียอิทธิพลไป ด้วยตำแหน่งการนำนั้นมันก็สูญเปล่าได้

แบบที่สาม นำด้วย ลักษณะชีวิต
หรือผมใช้คำว่าจริยธรรม คุณธรรม หรือภาษาของกลุ่มคริสเตียนเรียกว่าด้วยผลของพระวิญญาณ หรือด้วยลักษณะชีวิตของพระคริสต์ ไม่ว่าจะได้รับการแต่งตั้งหรือไม่ หรืออาจไม่ได้มีความสัมพันธ์สนิทสนม คุณอาจจะไม่เก่งในการสร้างความสัมพันธ์ แต่เนื่องด้วยคุณธรรมที่เชื่อใจได้ มีความรัก รู้จักใช้ความเมตตา ทั้งพระเดชและพระคุณเป็น ท่านจะเป็นผู้นำที่มีอิทธิพลทั้งอยู่ในตำแหน่งและนอกตำแหน่ง เพราะทุกคนสัมผัส จริยธรรม คุณธรรม ชีวิตในพระคริสต์ในท่าน แม้มีเรื่องหยุมหยิมเล็ก ๆ น้อย ๆ เข้ามาในการนำของท่าน ผู้ตามก็ยังคงให้เกียรติยำเกรง ด้วยความถ่อมใจ ความรัก การเอื้ออาทรของท่านที่มีต่อทุกคนครับ
ทุกคนเป็นผู้นำได้ ตอนสาม ไม่มีวิธีไหนดีที่สุด

เราหลายคนนำคนโดยการแบ่งหน้าที่แบบหัวหน้าลูกน้อง หรือ Organization chart การบริหาร แบบบริษัททั่วไป แต่ผมขอเสนอแนวทางในการนำอีกแนวทางหนึ่ง

แต่ขอบอกก่อนว่าการนำแบบใดแบบหนึ่ง ไม่อาจเป็นคำตอบได้ เพราะขึ้นอยู่กับผู้ตาม หากท่านเจอผู้ตามที่ค่อนข้างดื้อ เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ฟังใครล่ะ ท่านจะนำเขาอย่างไร

หรือท่านเจอผู้ตามที่เอกเทศน์ ชอบวิพากวิจารย์ คิดแต่เรื่องลบ ๆ ล่ะ หรือเจอผู้ตามที่ดีหน่อย เชื่อฟังและเป็นผู้ตามที่ดี แต่ไม่ค่อยคิดสร้างสรรค์ รอคำสั่งอย่างเดียว ท่านจะทำอย่างไร

ผมจึงบอกก่อนเลยว่าเราจะใช้วิธีเดียวนำคนกลุ่ม ๆ หนึ่งไม่ได้ หรือบอกว่าวิธีนี้ดีที่สุด หรือดีกว่าวิธีอื่นไม่ได้ ครับ มันอยู่ที่สถานการณ์และคน เพราะคนมีตัวแปรหลายอย่างในตัวเขา ทั้งเรื่องครอบครัว การเงิน นิสัยส่วนตัว

ผมจึงอยากบอกว่าไม่มีวิธีไหนดีที่สุด แต่อยากบอกว่าเราจะปรับ ประยุกต์ หาวิธีที่เหมาะสมที่ดี ในการนำขณะนั้น จะทำให้ท่านแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะไม่ได้ดีที่สุด เพราะสุดท้ายหัวใจของการเป็นผู้นำ คือ เอาชนะใจทีมงานและรักทีมงาน ซึ่งพวกเขาจะสัมผัสได้ครับ
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553

ทุกคนเป็นผู้นำได้ ตอน 2

ทุกคนเป็นผู้นำได้ ตอน 2 จำนวนไม่สำคัญเท่ากับคุณภาพของการนำ

ผมอยากให้เราลองนึกภาพว่าเราจะเติมน้ำให้เต็มขวดโหลที่วางเรียงบนโต๊ะตัวหนึ่ง โดยมีจำนวนสี่สิบขวด เป้าหมาย คือ เติมให้เต็มทุกขวด

คุณจะเอาสายยางฉีดน้ำพ่นบนขวดเหล่านั้น หรือจะเอาสายยางจ่อทีขวด

เรื่องนี้ผมท้าทายให้คิด คือ หากเรามีผู้นำน้อยแต่คัดคนที่มีคุณภาพ หรืออาจจะมีแต่เราที่มีเวลาแต่ละวัน เอาสายยางจ่อทะขวด ดีกว่าอยากมีมาก ๆ แล้วต้องพ่นน้ำใส่ ไปมาน้ำอาจเข้าขวดบ้างไม่เข้าบ้าง ก็จะทำให้ท่านได้ผู้นำที่ไม่มีประสิทธิภาพมากนัก เหมือนมีน้ำแต่ไม่เต็มขวด

ที่พูดแบบนี้ก็กำลังให้กำลังใจแก่ผู้นำที่กำลังนำ คนกลุ่มเล็กๆ ว่าอย่าท้อใจ และอย่าดูหมิ่นการเล็กๆ เพราะ ปราสาท ราชวังเริ่มต้นด้วยอิฐเพียงก้อนแรกก้อนเดียว แล้วค่อย ๆ เสริมสร้าง ก่อทีละก้อน ๆ ๆ ๆ จน ใหญ่โตเป็นราชวังได้ ทีนี้มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าท่านนำคนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มมาก แต่อยู่ที่ประสิทธิภาพกับคุณภาพชีวิต เวลาที่ท่านมีอยู่ ท่านเสริมสร้างผู้ตามของท่านได้ดีแต่ไหน เรื่องนี้เป็นศิลปะและเป็นศาสตร์อย่างหนึ่งในชีวิตของผู้นำเลยครับ เพราะชีวิตผู้นำก็บ่งบอกเป็นอย่างชัดแจ้งแล้วว่าคุณต้องเสียสละกว่า อดทนกว่า จ่ายราคากว่า ทนกว่า และมีความรักมากกว่าผู้ตาม

ถึงแม้ท่านจะนำคนเดียว คนนั้นคือลูกของท่าน หรือใครก็ตาม พวกเขาต่างคาดหวังสองเรื่อง คือ คุณภาพชีวิตของท่านที่แสดงให้เห็น และความสามารถในการทำ หรือเป็นตัวอย่างที่เขาจะเรียนแบบเรียนรู้ได้ แล้ววันนี้ท่านพร้อมจะนำและเสริมสร้างตัวเองในการเป็นแม่แบบ และสำแดงชีวิตแล้วหรือยัง

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2553

ทุกคนเป็นผู้นำได้ ตอน 1- ผู้นำมีหลายแบบ

อย่าดูถูกตัวเองนะครับ ว่าท่านไม่ใช่ผู้นำ เพราะในความหมายของผม ผมคิดว่า ทุกคนเป็นผู้นำได้ เพียงแต่ว่า ท่านจะมีศักยภาพในการนำระดับไหน และจำนวนแค่ไหน

แต่หากท่านนำ สอน ชี้แนะ สักหนึ่งคนขึ้นไป ท่านก็เป็นผู้นำแล้ว ดังนั้น ในบทความของผม อยากจะหนุนใจ ผู้นำทุกระดับ เพราะคนหนึ่งคนที่ติดตามท่านนั้นมีค่ามาก มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเรื่องของคนสองคน ที่ผู้ตามยินดีตามท่าน และท่านเองยินดีที่จะนำเขา

ดังนั้น ขบวนการนำจึงเริ่มเกิดขึ้นเมื่อมีผู้นำและผู้ตาม ในที่นี้ยังรวมไปถึงช่วงระยะเวลาในการนำ เพราะในการนำนั้น ผู้นำมีหลายแบบครับ เช่น เป็นผู้ชี้นำ ฝ่ายจิตใจ กำลังใจ หรือจิตวิญญาณ หรือนำในรูปแบบเป็นโค้ช หรือผู้ให้คำปรึกษา หรือรูปแบบเป็นแม่แบบ หรือในรูปแบบพี่เลี้ยงที่อยู่เคียงข้าง หรือรูปแบบของครูในชั้น หรือแบบพ่อแม่ฝ่ายวิญญาณ (สำหรับกลุ่มที่เชื่อในศาสนา) หรือในรูปแบบผู้สนับสนุน

แต่ละบทบาทก็ทำหน้าที่ต่างกัน และมีวาระเวลาต่างกัน บางคนอาจอยู่ช่วงสั้น หรือยาว บางคนอาจทำได้ทั้งสอง หรือสามแบบ บางคนอาจทำได้แบบเดียว บางคนอาจอยู่กับเรานานมาก บางคนเหมือนลิขิตจากสวรรค์ (พระเจ้า)ส่งมาให้ภายในเวลาช่วงสั้น ๆ แต่ทั้งหมด ล้วนมีผลดีต่อชีวิตของเราทั้งสิ้น ครับ เพราะไม่มีเรื่องบังเอิญ ในชีวิต คริสเตียน

ในส่วนของท่าน มีคนรอบข้าง การนำแต่ะคนก็จะต่างกันไป พวกเขาไม่ใช่หุ่นยนต์ หรือตุ๊กตา ที่เราจะจับพวกเขาให้เหมือนกันหมด เท่ากันหมดในศักยภาพหรือความเข้าใจ ดังนั้นในการนำย่อมมีวิธีการ ศิลปะ ที่จะนำคนหลากหลาย และหลากความสามารถเหล่านี้ให้เติบโต ได้อย่างสมดุลย์ครับ

Visitor counter