วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

ผู้นำกับการ "บริหาร"

ผู้นำกับการ "บริหาร"

การบริหาร คือ การจัดขบวนการเพื่อให้สามารถทำงานให้สำเร็จลุล่วงไปได้ดี โดยผ่านผู้บริหาร ในภาษากรีกการบริหาร หมายถึง กัปตันเรือ หรือ ผู้ครอบครองเป็นคำเดียวกัน เพราะว่ากัปตันเรือมีหน้าที่ควบคุมดูแลและนำเรือไปให้ถึงจุดหมายปลายทางโดยปลอดภัย ดังนั้น กัปตันเรือย่อมต้องรู้เส้นทางเดินเรือและวิธีการควบคุมเรือให้ดีที่สุด รีลอย อิมส์ กล่าวว่า.การบริหารที่สำเร็จผลนั้น คือ

1. มีการวางแผนที่ดี

2. ทำงานนั้นด้วยความเต็มใจ

3. มีความมุ่งมั่นแน่วแน่ว่า จะต้องเห็นความสำเร็จของงานที่ทำให้ได้

4. ต้องฟันฝ่าอุปสรรค และต่อสู้กับปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ

เมื่อเราบริหารเราต้องพึ่งการทรงนำไหม?

สิ่งนี้ผู้นำคริสเตียนที่เชื่อใหม่อาจยังไม่เข้าใจและสงสัยว่า เราควรจะเน้นชีวิตที่ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และการทรงนำ หรือความสามารถในการบริหารมากกว่ากัน ?

หากเราจะสังเกตุคุณสมบัติ 3 ประการที่พระคัมภีร์เน้นในการเป็นผู้บริหารงาน ในพระวัจนะของพระเจ้า ทั้งพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ ดังนี้

พระคัมภีร์เดิม อพย.18:21

พระคัมภีร์ใหม่ กจ.6:3

1.มีความสามารถ

2.ยำเกรงพระเจ้า

3.ไม่กินสินบน

1.สติปัญญา

2.ประกอบ

3.ชื่อเสียง

ในที่นี้ ความเข้าใจในความสามารถ มี 2 ลักษณะ คือ

1. เป็นของประทานจากพระเจ้า หรือของประทานด้านบุคลิคภาพ ด้านภาระใจ ตามโรม 12:6-8 และเราทุกคนมีของประทานที่ต่างกัน ตามพระคุณที่ได้ประทานให้แก่เรา คือถ้าเป็นการเผยพระวจนะ ก็จงเผยตามกำลังของความเชื่อถ้าเป็นการปรนนิบัติก็จงปรนนิบัติ ถ้าเป็นการสั่งสอนก็จงสั่งสอน ถ้าเป็นการเตือนสติก็จงเตือนสติ ถ้าเป็นการบริจาค ก็จงให้ด้วยใจกว้างขวาง ผู้ที่ครอบครอง ก็จงครอบครองด้วยเอาใจใส่ ผู้ที่แสดงความเมตตา ก็จงแสดงด้วยใจยินดี

ดังนั้น เราต้องจัดคนให้ทำงานที่เหมาะกับของประทานของแต่ละคน

2. เป็นความสามารถเฉพาะตัว หรือตะลันต์ที่เรามี เช่น ทักษะการนำ ความสามารถที่เรียนรู้มา หรือเรียกว่าพรสวรรค์ที่พระเจ้าประทานให้ ซึ่งเกิดจากการฝึกฝน การเรียนรู้ จนอาจกลายเป็นพรสวรรค์ หรือพรแสวง

3. อย่าเน้นคนที่มีเพียงด้านใดด้านหนึ่ง เช่น

. ไม่เน้นชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ดี แต่มีความสามารถเท่านั้น

. ไม่มีความสามารถ แต่มีชีวิตฝ่ายวิญญาณดีเท่านั้น

แท้จริง เราควรเน้นทั้ง 2 ด้าน แต่ถ้าหากไม่มีความสามารถ แต่มีชีวิตดี และยินดีที่จะเรียนรู้พัฒนาก็เป็นสิ่งที่ผู้นำควร พัฒนาบุคคลเหล่านี้อย่างจริงจัง



ผู้นำกับการเคลื่อนในการฟื้นใจดังแม่น้ำ

เวลานี้พวกเราที่เคลื่อนในแม่น้ำของพระเจ้า มีประสบการณ์ในการกระโดดลงในแม่น้ำ แห่งการเจิม การเยียวยา การทรงสถิตของพระองค์ลึกลงตามลำดับ เมื่อเรากระโดดลงไปในแม่น้ำแห่งชีวิตที่ไหลเข้ามาสู่ชีวิตคริสตจักรของเรา เราควรจะเข้าใจจุดประสงค์ของการดื่ม การก้าวลงไปในแม่น้ำของพระองค์

คำว่า แม่น้ำ ในพระคัมภีร์ถูกใช้เป็นสถานที่ตั้งเมืองและตั้งรกรากที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ ยังใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เช่น ยอห์นใช้ในการรับบัพติสมา หรือนาอามานใช้จุ่มตัวเพื่อรักษาโรค (2 พกษ.5:14)

ในพระคัมภีร์เดิม แม่น้ำยูเฟรติสเป็นแม่น้ำสายพิเศษ และมักใช้คำว่า "The River" (เอสรา 4:10) มักถูกใช้เพื่อเป็นสัญลักษณ์กำหนดเขตแดนชาติอิสรา (ปฐก. 15:18; ฉธบ. 1:7) ถูกครอบครองในช่วงสั้น ๆ ในสมัยของดาวิดและซาโลมอน (2 ซมอ. 8:3; 1 พกษ 4:21) เขตแดนนี้ต้องสูญเสียไปในที่สุด แต่ก็ยังได้รับการยืนยันจากบรรดาผู้เผยพระวจนะว่าเป็นพระสัญญาของพระเจ้า (อสย. 27:12; มีคาห์ 7:12). นอกจากนี้ แม่น้ำยูเฟรติสยังเป็นเครื่องหมายทางภูมิศาสตร์ของเขตแดนระหว่างเมโสโปเตเมียกับอัสซีเรีย

แม่น้ำของสวนเอเดน ซึ่งประกอบด้วยแม่น้ำยูเฟรติสและไทกริส เป็นสัญญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ที่พระเจ้าประทานให้ (ปฐก. 2:10-14) แนวความคิดนี้ยังครอบคลุมไปถึงภูเขาซีโยน ซึ่งเล็งถึงพระพรของพระเจ้า (สดด.46:4; อสค.47:5-12) และเยรูซาเล็มใหม่ (วว.22:1-2)

คำว่าแม่น้ำ มักถูกใช้เพื่อแสดงถึงความปีติยินดีของพระเจ้า (สดด.36:8) สันติสุข (อสย.48:18; 66:12) ชีวิต (ยน.7:38) น้ำตา (พคค.3:48) ทั้งยังใช้ในความหมายถึงสิทธิอำนาจในการควบคุมเหนือธรรมชาติของพระเจ้า (สดด.107:33; อสย.42:15)
________________________________________

บางคนใช้คำนี้ หมายถึง การฟื้นฟู เราอยู่ในแม่น้ำของพระเจ้าจึงหมายถึง เราอยู่ในคลื่นการฟื้นฟูของพระเจ้า
________________________________________

เหมือนดังบทเพลงที่ร้องกันอย่างแพร่หลายว่า "สายน้ำไหลหลาก จากบนภูเขา นำเอาความชื่นบานสู่ทุก ๆ ที่ที่ผ่านไป" แม่น้ำแห่งชีวิตนี้ คือการเคลื่อนของพระวิญญาณของพระเจ้าในการฟื้นฟู (อสค.47) ได้นำเอา
“...วาระพักผ่อนหย่อนใจ...มาจากพระพักตร์พระเจ้า” (กจ 3:19) จริง ๆ




แต่แม่น้ำของพระเจ้าเป็นมากกว่าความชื่นบาน ในขณะที่หลายคนพอใจเพียงแค่ยืนอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ อยู่ในการทรงสถิตย์ของพระเจ้า แต่แม่น้ำไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่นั้น แม่น้ำยังทำหน้าที่ในการเชื่อมต่อแหล่งน้ำในที่ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน แม่น้ำต้องไหลออกไปในธรรมชาติ แม่น้ำไม่ได้เพียงแต่ไหลไปไหลมาเท่านั้น แต่จะต้องไหลไปสู่ทะเล มหาสมุทร หรือแม่น้ำสายอื่น ๆ ในทำนองเดียวกัน

การฟื้นฟูไม่ได้จบแค่มีประสบการณ์ แล้วจบในตัวเองแค่นั้น แต่ต้องหมายถึงการขยายออกไป โดยการชำระในแม่น้ำแห่งการฟื้นฟู เราจะได้รับการชำระให้สะอาด ยอมจำนนที่จะเคลื่อนไปกับพระวิญญาณ ได้รับความสดชื่น และได้ใช้ของประทาน

ยิ่งกว่านั้น แม่น้ำแห่งการฟื้นฟูที่แท้จริงจะต้องขยายออกไปยังดินแดนที่แห้งแล้ง และไปถึงคนที่หลงหาย ไม่ใช่จบแค่ในคริสตจักร หรือเซลของเรา

เช่นเดียวกับแม่น้ำที่ต้องมีทางออก แม่น้ำก็ต้องมีต้นน้ำด้วย และต้นน้ำต้องอยู่สูงกว่าแม่น้ำเอง มันอาจไหลลงมาจากภูเขา แต่มันก็จะไม่หยุดอยู่ตรงนั้น มันจะไหลลงไปสู่ที่ต่ำกว่า ไปยังหุบเขา เมื่อมันไหลอย่างอิสระ แม่น้ำของพระเจ้าจะเชื่อมความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า (ภูเขา) ไปยังที่ที่ต้องการ (หุบเขา) ภูเขายิ่งสูง น้ำยิ่งไหลแรง หุบเขายิ่งลึง น้ำก็ยิ่งไหลแรง น้ำยิ่งไหลแรง อำนาจของมันก็ยิ่งมาก

แม่น้ำไม่ไหลสะเปะสะปะ มันมีทิศทางของมัน น้ำไม่เคยไหลจากฝั่งตะวันออกไปยังฝั่งตะวันตก หรือไหลขึ้นแล้วไหลลงอย่างไร้จุดหมาย มันมีระเบียบของมัน ไหลไปตามทางของมัน และไหลไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก สิ่งเหล่านี้ เปรียบเหมือนกับความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและการยอมจำนนในพระกาย เมื่อมันออกนอกลู่นอกทางอย่างควบคุมไม่ได้ ก็จะก่อให้เกิดน้ำท่วม ถึงแม้ว่าจะมีหลายคนมองการฟื้นฟูว่าเป็นความบ้าคลั่งที่ไร้ระเบียบ

แม่น้ำช่วยเปลี่ยนสภาพทางภูมิศาสตร์ สร้างให้เกิดความสวยงาม ช่วยขัดให้หินเรียบลื่นขึ้น นำสิ่งต่าง ๆ ลงมาจากภูเขา สร้างความประทับใจในรูปแบบต่าง ๆ ที่มันไหลผ่านไป นี่เป็นภาพของการฟื้นฟูที่แท้จริง ซึ่งจะเปลี่ยนชีวิตของเรา และคนรอบข้างที่ได้สัมผัสชีวิตของเรา เราจะไม่เป็นเหมือนเดิม อีกต่อไป

แม่น้ำสามารถเป็นแหล่งของพลังงานเมื่อถูกนำไปใช้อย่างถูกต้อง ซึ่งหมายถึงความมีวินัยฝ่ายวิญญาณ แต่เพราะว่าแม่น้ำต้องไหลไป มันจึงไม่มีรูปแบบ ไม่สามารถตรึงเอาไว้ (ไม่มีแม้น้ำแข็ง มีแต่ทะเลสาปแข็งเป็นน้ำแข็ง เพราะแม่น้ำไหลตลอดเวลา แต่ทะเลสาปอยู่นิ่ง ๆ)

• แม่น้ำจะนำเอาสิ่งที่ไม่ขัดขืนมัน ยอมไหลตามมันไปด้วย แค่เพียงแต่อยู่ในแม่น้ำเฉย ๆ เท่านั้น โดยไม่ขัดขืน เช่นเดียวกัน พระเจ้ามีวิธีการของพระองค์ในการเคลื่อนในเรื่องการฟื้นฟู สิ่งที่เราต้องทำมีอย่างเดียวคือ เชื่อฟังและทำตาม ไหลไปตามกระแสของมัน อย่าดื้อดึง แล้วมันจะพาเราไปเอง

• แม่น้ำไม่ได้ไหลเป็นเส้นตรง มันโค้งไปมา ทางของพระเจ้าก็เช่นกัน ไม่สามารถคาดเดาได้ พระองค์ไม่ได้ทำอย่างเดียวกันทุกครั้ง ไม่เช่นนั้น เราคงสามารถผลิตการเคลื่อนของพระเจ้าได้เอง (มีคนเคยพยายามแล้ว แต่ไม่สำเร็จ!)




โดยธรรมชาติแล้ว ความลึกของแม่น้ำมักจะสัมพันธ์กับความกว้าง ยิ่งเราลึกกับพระเจ้ามากเท่าไหร่
• หมายสำคัญและการอัศจรรย์ก็ยิ่งมากเท่านั้น เช่น การรักษาโรค การเผยพระวจนะ ขึ้นอยู่กับระดับของการไหลไปกับการฟื้นฟู ยิ่งมาก เราก็จะมีประสบการณ์ในฤทธิ์อำนาจมาก

• แม่น้ำชะล้างให้สะอาด แน่นอนว่านี่เล็งถึงความบริสุทธิ์ แม่น้ำแห่งชีวิตนั้นจะใสราวกับกระจก (วว.22:1) เพราะว่าน้ำนั้นไม่เปื้อนโคลน จึงไม่มีสิ่งในโลกนี้ปะปนมากับน้ำ

แม่น้ำแห่งชีวิต รักษาชีวิตที่อาศัยอยู่ในนั้น และนำน้ำแห่งชีวิตไปยังทุก ๆ ที่ที่มันไป ดังที่เอเศเคียล 47:7-9 กล่าวว่า “ต้นไม้มากมายอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำทั้งสองฟาก …แม่น้ำนั้นไปถึงที่ไหน สัตว์มีชีวิตที่อยู่กันเป็นฝูงก็จะมีชีวิตได้ และที่นั่นมีปลามากมาย เพราะว่าน้ำนี้ไปถึงที่นั่นน้ำทะเลก็จืด เพราะฉะนั้นแม่น้ำไปถึงไหน ทุกสิ่งก็มีชีวิต”


วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

ผู้นำกับเวลาและการจัดลำดับความสำคัญ

เราแต่ละคนมีเวลาเท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นประธานธิบดี นายกรัฐมนตรี ชาวนา แต่ว่าการใช้เวลาของเราไม่เหมือนกัน หรือเราเลือกสิ่งที่จะทำไม่เหมือนกันเช่นกัน จึงทำให้ความสำเร็จของเราไม่เท่ากัน และการทำงานหลากหลายไม่เท่ากัน ความหมายคือ ภายใน24 ชั่วโมง บางคนบริหารเวลาทำได้ หลายอย่าง แต่บางคนทำได้อย่างเดียว เหล่านี้มีสาเหตุและผมอยากจะแนะนำครับ

สิ่งแรก คือ การเลือกทำงานที่เร่งด่วนและจำเป็น เพราะงานบางอย่างจำเป็นแต่ไม่เร่งด่วน แต่เรากลับไปทำให้เสร็จ ทั้งที่ยังไม่จำเป็นต้องใช้เวลานี้ เช่นกันท่านต้องทำสิ่งที่เร่งด่วนและจำเป็นตอนนี้

สอง งานบางอย่างทยอยทำไปเรื่อย ๆ ก็ได้ เพราะมีงานบางอย่าง ต้องให้เสร็จภายในวันนี้ แต่งานชิ้นอื่นต้องทำ เพื่อไม่ให้ไปเร่งวันสุดท้าย จะด้อยประสิทธิภาพ ท่านต้องแบ่งเวลานั้น ๆ

สาม ที่สำคัญ หากสำเร็จในงานแต่พลาดเวลาสำคัญท่านก็แพ้แล้ว ท่านควรแบ่งเวลาแต่ละวัน สำหรับพระเจ้า งานของท่าน ครอบครัว และการรับใช้อย่างสมดุลย์ ท่านจะชนะตลอดชีวิต แม้ท่านจะเป็นผู้นำที่ดีแค่ไหน แต่ไม่สามารถนำครอบครัวให้สนับสนุนและมีความสุขได้ หรือความสัมพันธ์กับพระเจ้าไม่ดี ท่านจะจบชีวิตแห่งความสำเร็จแบบคนพิการครับ คือไม่ครบสมบูรณ์ตามน้ำพระทัยพระเจ้า

สี่ เรียนรู้จักการปฎิเสธ เพราะบางเรื่องคนอื่นก็ทำได้ และท่านต้องทำงานหลัก หน้าที่ของท่านให้สำเร็จก่อนครับ อย่าคิดว่าหากไม่มีท่าน งานนั้นจะไม่สำเร็จ นี่เป็นความคิดที่ผิด
โยเซฟเคยถูกพี่ชายขายมาก่อน ทั้งที่เขาเล่าการสำแดงของพระเจ้าให้พี่ ๆ ฟัง แต่พี่ ๆ หาว่าเขาทะเยอทะยาน และสุดท้ายโยเซฟก็ผ่านการพิสูจน์ชีวิต ผ่านการทดสอบ พระเจ้านำเขาให้เป็นรองกษัตริย์ฟาโรห์ และได้ครอบครองดูแลพี่ ๆ ที่ต้องคำนับโยเซฟ ดังที่เคยทำนายไว้

ดาวิดเคยถูกพี่ชายดูถูกมาก่อน เมื่อดาวิดเอาอาหารไปส่ง พี่ ๆ หาว่ามาดูการสู้รบ ทะเยอทะยาน แต่สุดท้ายพวกเขาหารู้ไม่ว่าเด็กชายที่พี่ ๆ ดูถูกกลับเป็นคนที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งเป็นกษัตริย์ของพี่ ๆ และผู้เป็นบิดา แต่ดาวิด ต้องผ่านบทพิสูจน์ คือ การไม่สนใจกับคำพูดเหล่านี้ และความทุกข์ยากลำบากนานหลายปี

เรามาดูความยากลำบากของโยเซฟ โยเซฟนับวันยิ่งตกอับ เพราะถูกพี่ ๆ เอาไปขาย จากนั้นถูกทดสอบ โดย ภรรยาเจ้านาย ล่วงละเมิดล้ำเส้น หาว่าจะปล้ำ ถูกจับเข้าคุกและขังลืม ทั้งที่ ช่วยเพื่อนในคุกออกไปได้โดยทำนายฝัน สุดท้ายเมื่อเวลาพระเจ้ามาถึง สิบกว่าปีเขาเป็นรองกษัตริย์

ดาวิดเมื่อถูกเผยวจนะจากผู้เผยซามูเอลว่าจะได้เป็นกษัตริย์ โดนซาอูลไล่ฆ่า หนีเข้าไปในป่าหลายปีกว่าจะได้เป็นกษัตริย์จริง ๆ สุดท้ายเมื่อเวลาพระเจ้ามาถึงท่านก็ครอบครองอิสราเอลสิบสองเผ่า
อยากหนุนใจว่า ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ผ่านประสบการณ์เคยถูกดูแคลนมาก่อนทั้งสิ้น แค่คำพูดไม่กี่คำของบางคน อย่าให้ท่าท้อใจง่าย ๆ ล่ะครับ
วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2553

ผู้นำที่ดี กับผู้นำที่โดดเด่น

ผู้นำที่ดี กับผู้นำที่โดดเด่น

บางครั้งเราคิดว่า การเป็นผู้นำที่ดีต้องระวังตัวสูงมาก กลัวไปเสียหมดในการตัดสินใจ ระวังทุกเรื่อง กลัวความผิดพลาด และจะพลาดไม่ได้

แต่ผู้นำ ที่โดดเด่นนั้น เขาจะกล้าตัดสินใจ เแยกความดีกับความผิดพลาดออกจากกัน (ผมไม่ได้หมยถึงแยกจริยธรรมกับความผิดพลาดนะครับ หรือบอกว่าผู้นำที่กล้าตัดสินใจไม่สนใจเรื่องจริยธรรม) และไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สนใจว่าจะทำตัวไม่ดี แต่หมายถึงชีวิตดีก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การทำผิดพลาด กล้าที่จะตัดสินใจผิด เป็นเรื่องปกติ กล้าทำในสิ่งที่เชื่อ ก้าวไปในสิ่งที่มั่นใจว่าพระเจ้านำและตรัส และหากเขาผิดพลาด หรือไปไม่ถึงสิ่งที่ตั้งเป้าหมาย ก็ไม่ได้หมายความว่าความดี การรักษาชีวิต คุณภาพชีวิต การยอมรับ ของผู้ติดตามเราจะหมดไป เพราะการกล้าที่จะทำ และก้าวไปข้างหน้าของผู้นำ แม้ว่าบางครั้งจะเห็นผลน้อย หรือช้า แต่ทั้งหมด หากผู้นำคนนั้น ทำสุดกำลัง และเต็มที่ ผู้ตามก็จะเห็นเอง ในการทุ่มเท จริงใจและพระเจ้าก็จะสนับสนุนท่าน

ผู้นำที่โดดเด่นมักจะเป็นผู้ที่ต่อสู้ และไม่หันไปเหมา ปล้ำสู้ ทำ ปรับเปลี่ยน ค้นหา ปรับปรุง แก้ไข หาทางที่จะทำงาน นั้นๆ จนกว่าจะทะลุทะลวง ไม่กลัวที่จะมีการเปลี่ยนแปลง เพราะหากเขารู้ว่าหากทำเช่นนั้นต่อไป มันจะไม่สำเร็จและไม่เกิดผล ไม่ย่ำอยู่กับที่ กล้าทำในสิ่งที่ต้องทำ แม้ต้องฝืนตัวเอง เพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม ไม่กลัวที่จะรู้สึกเสียหน้าและอายเมื่อล้มเหลว

เขาอาจเสียใจ ที่ทำผิดแต่ไม่ยอม เสียโอกาส ที่รู้ว่าจะลุกขึ้นมาได้อีก เพราะ เขารู้ว่าบั้นปลาย พระเจ้าไม่ได้สร้างเขามาเพื่อเป็นผู้แพ้ แต่เขารอโอกาสที่จะชนะต่างหาก และยิ่งชีวิตและจริยธรรมของเขาด พระเจ้าจะเตรียมคนมาให้เขา รอบข้าง เพราะผู้นำที่ดีที่ทุ่มเท โดดเด่น มักจะดึงดูดคนที่เหมือนเขาเข้ามาหาด้วยกันครับ
ถ้าคุณตามใจทุกคน สุดท้ายทุกคนก็จะไม่ติดตามคุณ

ผู้นำต้องมีค่านิยมชัดเจน และกล้าที่จะแสดง ประกาศ จุดยืน โดยเฉพาะผู้นำที่เป็นคริสตชน เพราะ เป็นการไม่แฟร์เลย หากท่านคลุมเครือในค่านิยม และเอาใจทุก ๆ คนเพื่อจะให้ผู้คนติดตามท่าน โดยไม่มั่นใจ หรือเข้าใจผิดว่าท่านมีค่านิยม ความเชื่อ จริยธรรมระดับไหน

หากท่านไม่แสดงตัวตน ความเชื่อ ค่านิยม หรือสิ่งที่ท่านเป็น ซึ่งจะนำไปสู่สิ่งที่ท่านกระทำ วันหนึ่งสิ่งนั้นก็จะปรากฏออกมา และผู้ตามหลายคนจะผิดหวัง เพราะพวกเขาเคยคิดว่า หรือเคยเชื่อว่า ท่านเป็น ท่านเชื่อแบบนี้ แต่สุดท้ายมันไม่ใช่

ด้วยเหตุนี้เอง ผู้นำที่ไม่แสดงจุดยืนด้านจริยธรรม และด้านค่านิยม ก็เป็นการเอาเปรียบผู้ตามเป็นอย่างมาก เพราะท่านพยายามเอาใจ ประนีประนอม ทำให้ผู้ตามที่อาจเชื่อ หรือมีค่านิยมต่างกับท่าน หรือเชื่อไม่เหมือนท่าน เข้าใจผิดว่าท่านมีค่านิยมและจุดยืนเหมือนเขา และเขาเป็นเหมือนท่าน พวกเขาจึงติดตามท่าน แต่สุดท้ายเวลาผ่านไป สองฝ่ายเสียเวลา ประนีประนอม แต่ไม่ได้เริ่มงาน เริ่มสร้างสรรค์อะไรที่ดีหรือเกิดผลเด่นชัด เพราะสองฝ่ายมีค่านิยมต่างกัน

หากผู้นำประกาศจุดยืน ค่านิยม หลักการชัดเจน จะเป็นความยุติธรรมสำหรับผู้ตาม เพราะเมื่อท่าน กล้าประกาศ ผู้ตามบางคนที่รู้ว่าวิถีนี้ไม่ใช่ค่านิยมและจุดยืนของเขา ทำให้พวกเขาได้มีโอกาสที่จะเลือก หรือย้ายไปร่วมงานกับผู้นำท่านอื่น และศักยภาพของเขา ความคิดสร้างสรรค์ และโอกาสก็จะเป็นของเขา เพราะเขาเหมือนกับรถไฟที่ไปเจอรางของมัน จะวิ่งได้ดีกว่าวิ่งบนถนน ซึ่งไม่ใช่วิถีของรถไฟ หรือเสมือน ปลาน้ำจืดที่ไม่ต้องไปอยู่ในน้ำทะเลที่เค็มจะทำให้ชีวิตของเขาไม่ได้ปลดปล่อยศักยภาพเต็มที่ครับ
ผู้นำศตวรรษที่ 20 มักจะเป็นผู้จัดการภายในตัว

ครั้งที่แล้วผมได้พูดถึงเรื่องผู้นำกับผู้จัดการแตกต่างกันอย่างไร เพราะเราจะได้รู้ถึงธรรมชาติคนทั้งสองประเภทนี้ว่าผู้นำมักมีไอเดียรายวัน หรือรายเดือน มองภาพกว้าง ใหญ่ แต่ผู้จัดการเขาสามารถ แยกแยะ จัดลำดับความสำคัญ เอาไอเดียของผู้นำมาจัดการเป็นระบบหมวดหมู่ ลำดับตามความสำคัญได้เป็นอย่างดี

แต่ผู้นำในศตวรรษ ที่ 20 ต่างกับผู้นำยุคก่อนแล้ว ที่จะมานั่งในห้องประชุม หรือโทรบอกผู้จัดการ ให้พิมพ์จดหมาย ร่างจดหมาย โทรหาคนนั้นคนนี้ ไปวางแผนมาส่ง หรือจะทำอะไรก็ต้องเรียกผู้จัดการคนนั้นมาทำให้หมด ผลก็คือหากขาดผู้จัดการ ผู้นำคนนี้เหมือนเป็นง่อยไปเลยนะครับ

ปัจจุบันผู้นำที่โดดเด่นมักจะเป็นผู้จัดการกึ่ง ๆ ภายในตัว พร้อมกับโน้ตบุ๊ค คอมพิวเตอร์หนึ่งตัว เขาไม่ต้องเรียกเลขามาชงกาแฟให้ และไปร่างจดหมาย พิมพ์จดหมายให้แล้ว มันล้าสมัยแล้วครับ

เพราะผู้นำในปัจจุบันหลายคน เขามีไอเดีย ขณะนั้นเขาอาจนั่งที่ร้านกาแฟ ซึ่งปัจจุบันก็สามารถเชื่อมต่อ wi fi หรือ อินเตอร์เน็ตได้ สั่งกาแฟมากิน พร้อมกับเช็คเมล์เอง ส่งเอง ตอบเองได้ทันที และที่ต้องการรายละเอียดในการปฎิบัติการรองต่อมา ค่อยให้ผู้จัดการนำไปทำต่อให้สำเร็จ

หรืออีกภาพหนึ่ง สมัยก่อนผู้นำต้องร่างเอกสารหรือให้ผู้จัดการค้นหาข้อมูลโทรติดต่อ สมัยนี้ผู้นำสามารถค้นหาข้อมูลดิบเองทางเว็บไซด์ เพราะร้าน บริษัทในปัจจุบันสามารถโอนเงิน จ่ายเงินได้หมด จะสมัครวีซ่าไปอเมริกา ก็สามารถดาวน์โหลดทางเว็บไซต์ เรื่องพวกนี้ผู้นำเขาทำกันได้ทุกที่ ทันที แม้ไปพักผ่อนที่ชะอำ หัวหิน

หากวันนี้ท่านหวังแค่จะเป็นผู้นำที่ดี อบอุ่น แต่ท่านต้องใช้บุคลากรมากมาย เสียงบประมาณในสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องเสีย เพราะผู้นำต้องปรับตัวพัฒนาที่จะคิดได้ทั้งแบบกว้าง ๆ คือคิดภาพใหญ่ และคิดมองภาพแบบ ภาพเล็ก แต่ทั้งสองแบบ ปัจจุบันมันต้องไปด้วยกัน และผู้นำศตวรรษที่ 20 มักจะเป็นผู้จัดการแบบกึ่ง ๆ ภายในตัวครับ ไม่ใช่แค่ใช้คำสั่งและแบ่งปันนิมิต พูด นั่งรอเลขามาชงกาแฟ ให้อย่างเดียว

นี่คือสิ่งที่ผู้นำต้องพัฒนา และไม่เกี่ยวกับอายุจะมากแค่ไหน แต่ว่าท่านอยากจะให้พระเจ้าใช้ได้มาก และเหมาะกับยุคสมัยนี้มากแค่ไหนครับ

Visitor counter